วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551

การแข่งขันกรีฑานักเรียนนักศึกษาแห่งประเทศไทยคัดเลือกตัวแทน เขต 3 ณจังหวัดนครราชสีมา

จังหวัดสุรินทร์ได้ส่งทีมกรีฑาเข้าร่วมการแข่งขัน
กรีฑานักเรียนนักศึกษาแห่งประเทศไทยรอบคัดเลือก เขต 3
ณ จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่8 - 14 ตุลาคม 2551
ในการแข่งขันครั้งนี้ทีมกรีฑาจังหวัดสุรินทร์ได้ส่งนักกรีฑาเข้าร่วมการแข่งขันจำนวน 10 คน ชาย 5 คน หญิง 5 คน ผลการแข่งขันทีมกรีฑาสุรินทร์ได้รับเหรียญรางวัลดังนี้

2 เหรียญทอง
2 เหรียญเงิน
4 เหรียญทองแดง

1. นายราชัน สีทา นักเรียนโรงเรียนประสาทวิทยาคาร
ได้ 2 เหรียญทอง จากวิ่ง 1,500 เมตร และ 3,000 วิบาก

2. นายศรีปัญญา แก้วกาญจน์ นักเรียนโรงเรียนสินรินทร์วิทยา
ได้ 1 เหรียญเงิน จาก พุ่งแหลน
3. นางสาวกาญจนา รักดี นักเรียนโรงเรียนสังขะ
ได้ 1 เหรียญเงินจาก วิ่ง 1,500 เมตร
4. นางสาวชุติภา สวัสดี นักเรียนโรงเรียนกระเทียมวิทยา
ได้ 2 เหรียญทองแดง จาก กระโดดไกล และ เขย่งก้าวกระโดด
5. นายเติมศักดิ์ ลวดเงิน นักเรียนโรงเรียนสินรินทร์วิทยา
ได้ 1 เหรียญทองแดงจาก วิ่ง ข้ามรั้ว 110 เมตร
6. นางสาวนิศารัตน์ แก้วกาญจนนะวงษ์ นักเรียนโรงเรียนสินรินทร์วิทยา
ได้ 1 เหรียญทองแดง จาก ขว้างจักร
ก็ขอแสดงความยินดีกับนักกรีฑาทุกคนและโค้ชของแต่ละโรงเรียนหวังว่าคงจะสร้างนักกีฬาต่อไปแม้ว่าจะมีแรงกดดันมากมายรอบทิศก็ตาม ขอให้ทุกคนมุ่งมั่นต่อไป

ศรีปัญญา แก้วกาญจน์ เหรียญเงินพุ่งแหลน

กาญจนา รักดี เหรียญเงิน วิ่ง 1,500 เมตร

นิศารัตน์ แก้วกาญจนนะวงษ์ เหรียญทองแดง ขว้างจักร


เชิดชัย , วรศักดิ์ , วินัย ผู้ควบคุมทีม โคราช-สุรินทร์

ชุติภา สวัสดี 2 เหรียญทองแดง กระโดดไกล , เขย่งก้าวกระโดด


กาญจนา , บังอร


ราชัน ศรีทา


ชุติภา สวัสดี
สุรพงษ์ สุขสิน โค้ชกรีฑาสุรินทร์

คณะนักกรีฑาจังหวัสุรินทร์


ฐานันดร์ ดีสม หัวหน้าผู้ฝึกสอนกรีฑาสุรินทร์

วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เทคนิค และ แท็กติก ระบบการเล่นฟุตบอล แตกต่างกันอย่างไร


เทคนิค และ แท็กติก ระบบการเล่นฟุตบอล แตกต่างอย่างไร
เข้าใจว่า คำสองคำนี้ เหมือนหรือแตกต่างกัน แล้ว เมื่อโยงไปถึง แทร็กติกกับ ระบบการเล่น
อันเดียวกันหรือเปล่า พยายามนึกถึงทีมลิเวอร์พูล... หลายท่านคงจะเข้าใจว่าผมจะเขียนเรื่อง
ลิเวอร์พูล หรือวงในแอนฟิลด์ เปล่าหร่อกครับ ถ้าผมอยากเขียนบรรยายอะไรให้มันเข้าเส้น
เดอะ ค็อป ผมไปบรรเลงแป้นคอมพิวเตอร์ที่เว็บไซต์ลิเวอร์พูลแล้วครับ! คราวนี้มาดูคำว่า
เทคนิค แทร็กติก และระบบการเล่น เหมือนหรือแตกต่างกันแน่ เทคนิค(technique) เป็น
เรื่องราวของส่วนบุคคล (individual) มันคือทักษะการเล่นฟุตบอลพื้นฐานที่คล่องแคล่ว
และชำนาญนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการรับบอล หยุดบอลการส่งบอลสั้น การผ่านบอกยาว การ
ปั่นฟรีคิก การควบคุมลูกฟุตบอล ครองบอล โหม่งบอล ยิงประตู และอีกหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง
กันกับความเป็นส่วนตัวของนักฟุตบอลแต่ละคน ถ้าทำได้ดีเราจะบอกว่า มีเทคนิคที่ดี เทคนิค
ขั้นสูง(นักบอลแถบเอเชียบ้านเรายังไม่มีเทคนิคขั้นสูง โดยเฉพาะพี่ไทย)
ส่วนแท็กติก(tactic (s)) หรือยุทธวิธี เป็นเรื่องของส่วนทีม แท็กติกเป็นการนำเอาเทคนิคของ
นักเตะแต่ละคนมารวมกันและเล่นด้วยกัน เป็นยุทธวิธีในการเล่น โดยมีเป้าหมายตั้งแต่ การเล่น
เกมของตัวเอง ทำลายเกมคู่แข่งขัน โจมตีคู่แข่งขัน และสุดท้ายเพื่อเป็นผู้ชนะในเกมหวังจุดโทษ
นิยมกันมากในลีกอิตาลี โดยเฉพาะเวลาเล่นเป็นเจ้าบ้าน) อะไรบ้างที่เป็นแท็กติก อย่างเช่น
การเล่นลูกชิ่ง 1-2 ดับเบิ้ลพาส คือส่งบอลให้เพื่อน แล้วเพื่อนเตะบอลจังหวะเดียวโดยไม่จับ
จังหวะนั้นเราอาจจะวิ่งขึ้นไปตรงๆ เพื่ออาจจะเบิ้ลให้เรา หรือ เบิ้ลไปคนอื่นๆ นี่คือ ดับเบิ้ลพาส
หรืออย่างเช่น การทำประตูแมนฯยูฯ ของ เวรอน นัดแข่งกับสาลิกาดง ซึ่งลูกถือว่าเป็นเทคนิค
ของเวรอน การเล่นบอลจัวหวะเดียวโดยไม่จับ อันนี้ยากเพราะทิศทางต้องแม่นยำและน้ำหนักดี
บรรดาลูกสูตร (set piece) ทั้งหลายแหล่ จากฟรีคิก ลูกเตะมุม
การเล่นเกมรุกด้วยการเจาะตรงคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟ เจาะด้านข้าง การโยนโด่ง การเล่นลูกเรียดๆ
นักเตะบางคนใช้ความสามารถเฉพาะตัวเจาะเกมรับคู่แข่งขัน ยังมี การดีเลย์เกม การทำลายเกมรุก
คู่แข่งขัน การฟาวล์ทุกรูปแบบ อย่างหลังเป็นแทร็กติกในแง่ลบ เพราะเล่นผิดกติกา ถามว่าผิด
หรือไม่คำตอบก็คือผิด สิ่งที่ได้รับคือ การโดนเป่าฟาวล์ อาจจะใบเหลือง หรือเลวร้ายสุดก็ใบแดง
แต่ถ้าทีมเราได้ประโยชน์ ชะลอเกมคู่แข่งขันได้ อะไรได้ แท็กติกลักษณะนี้นำซึ่งการถกเถียงมากมาย
โกงหรือเปล่า เอาเปรียบคู่แข่งขันหรือเปล่า มันคล้ายๆ กับว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ไม่ใช่ซะทีเดียว
คือไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียงมาก แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของเกมฟุตบอล ฟุตบอลก็เป็นโลกๆ
หนึ่ง ไม่มีอะไรจะสวยงามไปซะทุกอย่าง ไม่มีการเล่นเกมรุกโดยไม่มีการตั้งรับ เกมรุกที่สวยงาม
ใช่ว่าจะชนะในเกมเสมอไป อย่างเช่น ทีมบราซิลยุค 70-80 เล่นดี เล่นสวยงามตามสายตาคนดูแต่
สุดท้ายแพ้ เป็นต้น เกมรับที่เลวร้ายก็ไม่ได้รับการยอมรับจากแฟนบอลทีมอื่นๆ นอกจากตัวเอง
อย่างลิเวอร์พูลนัดที่แข่งกับบาร์เซโลน่า นัดยูฟ่า คัพ ปี 2000-01 เป็นนัดน่าเบื่อสำหรับแฟนบอล
อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่าฟุตบอล ก็มีกติกาของมันอยู่ กติกาคอยควบคุมไม่ให้ออกนอกกรอบ
ของมัน แม้บ่อยครั้งที่คนมีอำนาจใช้กติกาอย่าง ผู้ตัดสินจะใช้อำนาจในทางที่ผิด แต่เขาก็ไม่ได้
ตั้งใจจะทำ เพราะมนุษย์ก็ต้องมีผิดพลาด มนุษย์ธรรมดาไม่ใช่โสดาบัน และผู้บรรลุที่เกินคำว่า
มนุษย์ เรื่องของแท็กติกที่ไม่ดี คือ แท็กติก และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเกมฟุตบอล ถ้าถามทรรศนะ
ส่วนตัวของผม รังเกียจ แท็กติกอย่างนี้มั้ย ผมบอกว่าไม่ครับ เพราะมันคือสีสันของเกมฟุตบอล
ไม่จืดชืดที่จะมีแต่พระเอก และมีบทจบแบบ แฮปปี้ เอนติ้ง เสียทุกครั้ง กับนางเอกคนสวยของผม
5555...(อิจฉาวะ ได้กอด ได้จูบ เล่นเอาเราที่แอบชอบนางเอกงอนเป็นเหมือนกันนะโว้ย นะน้องเจนี่)
กระนั้นโลกของฟุตบอลอาจจะไม่แฟร่ในสายตาของแฟนบอลที่ต้องการเห็นเกมรุกอันสวยงาม คลาสสิก
แล้วชนะเลิศ ทว่านั่นก็คือสิ่งที่จะต้องยอมรับ เมื่อโลกฟุตบอลถูกสร้างด้วยเงื่อนไขที่ว่า ได้ประตู
คือผู้ชนะ ไม่ใช่เล่นสวยงามแล้วชนะ(เหมือนทีมแมนฯยูฯ) แต่ตัดสินกันที่ใครยิงประตูได้มากกว่า
อีกอย่างหนึ่งที่ต้องบอกเลยว่า ถ้าคุณดีจริง คุณต้องชนะ(เหมือนลิเวอร์พูล ได้ 3 แชมป์นั่นไง)
คุณต้องดีจริงๆ ไม่ว่าทีมของคุณจะเน้นแท็กติกเกมรับอย่างเดียว หรือรุกอย่างเดียว ถ้ารับดีจริง
รุกดีจริง คุณต้องชนะ แต่ในบางครั้งชัยชนะที่ได้อาจจะไม่ได้มาจาก รับดีและรุกดี แต่อาจจะมาจาก
"โชคดี" แต่มันเป็นแค่บางครั้ง ที่คู่แข่งขันยิงเท่าไหร่ก็ไม่เข้าประตู ชนเสา ชนคาน ยิงเข้าแต่กรรมการ
ไม่ให้เป็นลูกประตู ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใด ก็ถือว่า "โชคดี" อย่าลืมนะครับว่า เล่นฟุตบอลไม่ใช่
หวังพึ่งโชคเสียทุกครั้ง (ดูอย่างทีมไทยที่แข่งรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกซิ แบบว่า "น่าจะ" ชนะคู่แข่ง)
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องฝึกหัด วางแผน ฝีกซ้อมกันแล้ว อย่าลืมความจริงข้อนี้ และความจริงที่ต้อง
ยอมรับว่า มนุษย์มักจะหาบทสรุปจากสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว คำว่า "โชคดีที่ชนะในเกม" เป็นบทสรุป
ของหลายๆ เกมที่เกิดขึ้นมาแล้ว
เรื่องของแท็กติก ไม่ว่าจะเน้นเกมรับ หรือรุกอย่างเดียว มันก็คือ แท็กติก และเป็นส่วนหนึ่งใน
เกมฟุตบอลที่ปฏิเสธ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมเคยเกลียด "คาเตนัชโช่" ของอิตาลี และไม่ชอบ
เกมโต้กลับของ โรมาเนีย, บับแกเรีย แต่เดี๋ยวนี้ ผมเลิกเกลียดแล้ว เลิกเกลียดแต่กลับมายอมรับ
ในมุมมองที่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ค้นหาว่าทำไม "คาเตนัชโช่" และเกมโต้กลับมาพิจารณา
นั่นแหละที่พบว่า ในสิ่งที่เราเคยเกลียดและคิดว่าไม่ดี ที่แท้ที่มีสิ่งดีๆ ซ่อนอยู่ เพียงแต่เราไปตั้ง
กำแพง ตั้งแง่กับมันก่อนที่จะรู้จักกับมันอย่างแท้จริง สิ่งดีๆ อันแรกคือ แท็กติกของแต่ละชาติ
สะท้อนแนวคิดของคนในชาตินั้น วัฒนธรรม และความเป็นชนชาตินั้นๆ อิตาลี ประเภทเจ้าเล่ห์
จอมอุบาย ต้องมีตุกติก ชอบมีนอกเกม พวกเล่นเกมรับมานาน และยังเล่นอยู่ เป็นปรัชญา
ในการทำงานของโค้ชทุกยุคทุกสมัย แม้ อาร์ริโก้ ซ้าคคี่ พยายามจะเปลี่ยนฟุตบอลอิตาลีให้เล่น
เกมรุก แต่เขาบอกว่ามันผิดธรรมชาติของคน อิตาเลียน
ในส่วนของ ฮอลแลนด์ พวกเขาเป็นชาติที่ช่างคิด ช่างประดิษฐ์ เมื่อเล่นฟุตบอลพวกเขา
เป็นชาติที่ตั้งหน้าบุกอย่างเดียว มีวิธีการรุกที่สวยงาม สวยงามจนลืมไปว่า ฟุตบอลยังมี
เกมรับแม้ปรัชญาของพวกเขาคือ ถ้ารุกดี นั่นคือเกมรับที่ดี บ่อยครั้งที่รุกดีแต่ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะ
บอลเขาตัดสินที่ ประตู ฮอลแลนด์ไปเน้นความสวยงามในการเล่นจนลดประสิทธิภาพในแง่ของ
การยิงประตู ยิงไม่ได้ เท่ากับเสมอ สุดท้ายก็แพ้ อย่างนี้คงจะบอกว่ารุกดีไม่ได้ เป็นเกมรุกดี
แต่ไม่ดีจริงต่างหาก ทุกยุคทุกสมัยฮอลแลนด์ จึงหากองหน้าตัวเป้าที่ปิดเกมเฉียบขาดไม่ได้
มีแต่จอมเทคนิค เต็มทีมไปหมด เรื่องของกรอบเขตโทษ พื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ของนักล่าเหยื่อ
เป็นพื้นที่ของเพชฌฆาต เป็นของกองหน้าตัวเป้า ฮอลแลนด์ไม่มีนักเตะในตำแหน่งที่ว่านี้มากนัก
ค้นสถิติกันได้ และก็ฟุตบอลโลกปี 2002 ก็ไม่มีฮอลแลนด์อัศวินสีส้มในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้แน่นอน
ไม่เหมือนเยอรมัน, อิตาลี แม้แต่อังกฤษ เองยังมีกองหน้าตัวเป้าที่ดีสืบทอดตำนานมาตลอด
ฮอลแลนด์ กับ อิตาลี เป็นตัวอย่างของทีมที่มีแท็กติกการเล่นแตกต่างกัน ถามว่ามีทีมไหนสมบูรณ์
แบบหรือไม่ ที่รับดีและรุกดี ผมอยากจะบอกว่า ฝรั่งเศสชุดแชมป์ ยูโร 2000 พวกเขาสมบูรณ์
แบบที่สุด เป็นตัวแทนของทีมที่ครบเครื่องทั้งรับและรุก ช่วงฟุตบอลโลก 1998 พวกเขาไม่
มีกองหน้าที่เป็นตัวยิงประตู ต้องอาศัยตำแหน่งอื่นๆ ขึ้นไปทำประตู แต่มายูโร 2000 พวกเขา
มีทุกอย่างครบเลย และฟุตบอลโลก 2002 ฝรั่งเศสคือทีมเดียวที่เล่นเกมได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
ใกล้เคียงกับคำว่า "perfect"
เข้าใจกันแล้วนะครับว่า เทคนิค กับแท็กติก นั้นแตกต่างกันอย่างไร ในส่วนของแท็กติกนั้น
เกิดจากโค้ชวางแผนและสั่งแน่นอนต้องมีการซ้อมก่อน ซ้อมอย่างชำนาญ นักเตะเข้าใจและเมื่อ
เกิดสถานการณ์ที่ต้องใช้ในสนาม ผู้เล่นจะนำออกมาใช้ได้ ส่วนจะเกิดผลหรือไม่นั้น ตัวแปรไม่ใช่
ว่าซ้อมแล้วจะได้ เพราะคู่แข่งขันอาจจะรู้ทางและป้องกันได้(นี่คือแท็กติกเหมือนกัน) อีกคำหนึ่ง
ที่ดูจะเหมือนและกลมกลืนไปเป็นคำเดียวกันกับ แท็กติก นั่นคือ ระบบการเล่น(system)
ระบบการเล่น เป็นส่วนหนึ่งของแท็กติกก็ว่าได้ ระบบเป็นการกำหนดตัวเลข และการยืนตำแหน่ง
ในสนามเท่านั้นเอง ตั้งแต่ฟุตบอลเป็นศาสตร์ขึ้นมา ย้อนหลังไปช่วง 60-70 ปีก่อน มีการ
ประมวลสรุประบบการเล่นว่าเป็น ตัว W บ้าง เป็นตัว M บ้างจนต่อมามีการพัฒนาการจนเป็น
ตัวเลขที่แน่นอน จนปัจจุบันทั่วโลกเล่นกันจริงๆ คือสองระบบ 5-3-2 และ 4-4-2 คราวนี้
ตำแหน่งการยืนในสนาม เป็นเรื่องที่โค้ชชี้เฉพาะเจาะจงกันไปเอง เพราะทั้ง 11 คนย่อมมีหน้าที่ๆ
แตกต่างกันอยู่แล้ว อย่าง 4-4-2 หยิบตัวเลข 2 ขึ้นมา ระบบนี้โค้ชจะมีนักเตะกองหน้าสองคน
คราวนี้คุณสมบัติคือ หนึ่งในสองต้องมีลักษณะที่เป็นจอมเทคนิค ครองบอลได้ดี จ่ายบอลแม่น
อีกหนึ่งเป็นตัวเป้าที่เก่งในเรื่องการสังหารประตูอย่างเดียว หน้าที่หลักๆ ของเขาคือตรงนั้น

สิ่งมหัสจรรย์แห่งโลกกีฬา



7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งโลกกีฬา
ปิดฉากกันไปเรียบร้อยแล้วสำหรับกิจกรรมที่คนทั่วโลกได้มีส่วนร่วม กับการโหวตหา 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ซึ่งเลือกฤกษ์งามยามเลขสวย 7-7-07 เป็นวันประกาศผล เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน พีต แม็คเอนท์การ์ต คอลัมนิสต์ของ สปอร์ตส อิลลัสเตรทเท็ด นิตยสารกีฬาชื่อดังจึงได้รวบรวมและเรียบเรียง 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกกีฬา ขึ้นมาบ้าง
...เนื่องด้วยบางสถานที่ในอันดับเหล่านี้ค่อนข้างจะห่างตัวแฟนกีฬาทั่วโลกอยู่บ้าง เนื่องจากมีความผูกพันกับกีฬาอเมริกันชนเสียมากกว่า เราจึงขออนุญาตขยับปรับเปลี่ยน นำสถานที่ในอันดับรองๆ ซึ่งหวุดหวิดจะติดโผขึ้นมาแทนที่ แต่ยืนยันได้ว่าแต่ละแห่งล้วนมีความเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง และร่วมบันทึกหน้าประวัติศาสตร์กีฬาโลกควรคู่คำ "มหัศจรรย์" ไม่แพ้กันสักนิดเดียว!
โคลอสเซียม - โอลิมปิคเกมส์ มหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติอาจถือกำเนิดขึ้นในยุคกรีกโบราณ แต่เป็นสิ่งก่อสร้างที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางกรุงโรม อิตาลี แห่งนี้เองที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่รู้จักในฐานะ "บรรพบุรุษของสนามกีฬาทั่วโลก"
ด้วยอิทธิพลของสื่อภาพยนตร์ตลอดระยะเวลาหลายยุคหลายสมัย คนยุคปัจจุบันจึงได้รับรู้ว่าโคลอสเซียมคือสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในยุคสมัยที่จักรวรรดิโรมันยังเกรียงไกร เป็นที่ที่องค์จักรพรรดิและชาวโรมันเข้าไปชมการต่อสู้ของเหล่าแกลดิเอเตอร์ และบ่อยครั้งที่ "แอมฟิเธียเตอร์" หรือสนามอเนกประสงค์แห่งนี้ ถูกใช้เป็นสถานที่จัดแสดงสารพันสิ่งบันเทิงและการแข่งขันกีฬาอื่นๆ ให้ผู้ชมกว่า 50,000 คนได้รับชมตลอดมา
ออกัสต้า - รายการเมเจอร์ เดอะ มาสเตอร์ส อาจไม่ใช่ทัวร์นาเมนต์ที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์กอล์ฟโลกก็จริง แต่ไม่มีรายการเมเจอร์ใดที่จะเวียนกลับมาจัดการแข่งขันยังสถานที่เดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนอย่างรายการนี้อีกแล้ว! เดอะ มาสเตอร์ส ถือกำเนิดขึ้นในปี 1934 โดย คลิฟฟอร์ด โรเบิร์ตส์ และ บ็อบบี้ โจนส์ ซึ่งนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ รายการเมเจอร์แรกของปีรายการนี้จะทำการแข่งขันที่สนาม ออกัสต้า เนชั่นแนล กอล์ฟ คลับ ในรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกาเรื่อยมา
ความที่สนามแห่งนี้จัดการแข่งขันเป็นประจำทุกปี จึงมักมีเรื่องราวที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์มากมาย หนึ่งในจำนวนนั้นคือ อาเมน คอร์เนอร์ หรือหลุม 11, 12 และ 13 ของสนามออกัสต้าที่มักมีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้น อาทิ การทำเบอร์ดี้ต่อด้วยอีเกิ้ลของ ไบรอน เนลสัน ที่หลุม 12 และ 13 เมื่อปี 1937 หรือการเอาตัวรอดจากการตกน้ำที่หลุม 12 ของ แซม สนีด จนก้าวไปคว้าแชมป์ในปี 1949 เป็นต้น
เฟนเวย์ พาร์ก - สนามเหย้าของ บอสตัน เร้ด ซอกซ์ เป็นสนามเบสบอลที่เก่าแก่ที่สุดในเมเจอร์ลีกของสหรัฐอเมริกา มีสโลแกนเรียกขานว่า "สนามเบสบอลที่ชาวอเมริกันรักที่สุด" สนามแห่งนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1912 จนถึงขณะนี้มีอายุได้ 95 ปีเต็มแล้ว
เฟนเวย์ พาร์ก เคยจัดการแข่งขันเวิร์ลด์ซีรีส์ (รอบชิงชนะเลิศ) มาแล้วถึง 9 ครั้ง และมีนักเบสบอลชื่อก้องมากมายฝากผลงานเอาไว้ ในจำนวนนั้นคือหนึ่งในตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของวงการเบสบอลอย่าง เบ๊บ รูธ นั่นเอง
ออล อิงแลนด์ คลับ - ออล อิงแลนด์ คลับ สร้างขึ้นในปี 1868 โดยมีวัตถุประสงค์แรกเริ่มเพื่อใช้แข่งกีฬาเทนนิสกับโครเกต์ และกว่าจะได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขัน วิมเบิลดัน รายการแกรนด์สแลมที่เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของวงการเทนนิสโลก ก็ในปี 1877 โดยหนแรกสุดมีเพียงการแข่งขันประเภทชายเดี่ยวเท่านั้น
ปัจจุบัน ออล อิงแลนด์ คลับ มีสนามเทนนิสที่ใช้ทำการแข่งขัน 19 สนาม โดย เซ็นเตอร์คอร์ต ความจุ 14,000 ที่นั่ง กำลังจะได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยการติดตั้งหลังคาเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการแข่งขันหยุดชะงักเนื่องจากฝนตก ดังที่กลายเป็นปัญหาน่าปวดหัวในปีนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2009 นอกจากนี้ ออล อิงแลนด์ คลับ ยังถูกกำหนดให้เป็นสนามแข่งขันเทนนิสในโอลิมปิคเกมส์ 2012 ซึ่งกรุงลอนดอนจะเป็นเจ้าภาพอีกด้วย
อเมดิสัน สแควร์ การ์เด้น - แม้ปัจจุบัน โปรโมเตอร์ดังอย่าง ดอน คิง และ บ็อบ อารัม จะย้าย "เมืองหลวง" ของวงการมวยโลกไปยังลาสเวกัส ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า หากเอ่ยถึงกีฬามวยในยุครุ่งเรืองถึงขีดสุด ไม่มีสถานที่แห่งใดจะศักดิ์สิทธิ์ไปกว่า เดอะ การ์เด้น ที่นิวยอร์ก ซิตี้ ซึ่งได้ชื่อว่า "เมกกะแห่งวงการมวย" อีกแล้ว!
เมดิสัน สแควร์ การ์เด้น คือชื่อเรียกของสนาม หรือฮอลล์ 4 แห่งในนิวยอร์ก แห่งแรกกำเนิดขึ้นในปี 1979 ซึ่งนอกจากจะใช้เป็น "บ้าน" ของทีมบาส นิวยอร์ก นิกส์ และทีมฮอคกี้น้ำแข็ง นิวยอร์ก เรนเจอร์ส แล้ว ยังใช้จัดโปรแกรมพิเศษอย่างคอนเสิร์ต ละครเวที และอีกหลากหลาย ซึ่งรวมถึงการจัด ไฟต์หยุดโลก นับครั้งไม่ถ้วนของวงการมวยโลก
ยอดตำนานหมัดหรือโคตรมวยแต่ละยุคสมัยต่างเคยผ่านสังเวียนในเดอะ การ์เด้น ไม่ว่าจะเป็น โจ หลุยส์ มูฮัมหมัด อาลี โจ ฟราเซียร์ จอร์จ โฟร์แมน หรือ ไมก์ ไทสัน เรียกว่าในยุคทอง ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับวงการนี้ การได้มาที่นี่ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดด้วยกันทั้งนั้น
เวมบลีย์ - ในฐานะประเทศต้นกำเนิดกีฬาฟุตบอลสมัยใหม่ สนามฟุตบอลแห่งชาติของพวกเขาจึงย่อมเป็นส่วนหนึ่งของ ตำนาน ของวงการลูกหนังโลกอย่างแยกไม่ออกด้วยเช่นกัน
สนามเวมบลีย์กำเนิดขึ้นเมื่อปี 1923 เรียกขานครั้งแรกในนาม เอ็มไพร์ สเตเดียม เป็นสนามที่ใช้จัดการแข่งขันฟุตบอลรายการสำคัญๆ ในประเทศมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบอลถ้วยเก่าแก่อย่าง เอฟเอคัพ รวมทั้งเป็นที่ที่ บ็อบบี้ มัวร์ กัปตันทีมสิงโตคำรามชูถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลกแห่งความภาคภูมิใจของพวกเขาเมื่อปี 1966 ด้วย
เมื่อปี 2003 ได้มีการทุบโครงสร้างสนามเก่าเพื่อสร้างสนามใหม่ แล้วเสร็จช่วงต้นปีนี้ และเปิดใช้เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2007 โดยชาวอังกฤษเรียกชื่อสนามแห่งนี้ติดปากว่า เวมบลีย์ใหม่
นูร์บูร์กริง - ใครก็ตามที่เคยเล่นเกมแข่งรถฟอร์มูล่าวัน ไม่ว่าจะเครื่องเกมแบบไหน หรือเกมใดก็ตาม เชื่อเหลือเกินว่าล้วนต้องเคยผ่านประสบการณ์บิดพวงมาลัยผ่านสนามนูร์บูร์กริง ในเยอรมนี ด้วยกันมาแล้วทั้งนั้น เพราะนอกจากจะเป็นหนึ่งในสนามแข่งกรังด์ปรีซ์ที่โด่งดังที่สุดแล้ว คนในโลกความเร็วยังยกย่องให้ที่นี่เป็นสนามแข่งรถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลด้วยเช่นกัน
เดอะ ริง สร้างขึ้นในทศวรรษที่ 1920 รอบๆ หมู่บ้านและปราสาทนูร์บูร์กจากยุคกลาง เป็นอีกหนึ่งสนามที่ได้ชื่อว่าโหดหินและมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยมีนักแข่งรถต้องสังเวยชีวิตที่นี่หลายราย โดยมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงสนามใหม่ให้เหมาะกับลักษณะของรถแข่งยุคปัจจุบันมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสีย โดยเริ่มใช้เส้นทางที่ปรับปรุงใหม่ในปี 1984
ถึงกระนั้นก็ยังมีเส้นทางเก่าๆ ที่ยังได้รับการอนุรักษ์ไว้ หนึ่งในนั้นคือเส้นทางนอร์ดเชไลฟ์ หรือ "เดอะ กรีน เฮล" ความยาว 22.810 กิโลเมตร ที่หลายคนยอมรับว่าเป็นเส้นทางแข่งรถที่โหดหินที่สุดในโลก!

รวมเทคนิคการเล่นบาสเกตบอล

รวมเทคนิคการเล่นบาส



รวมเทคนิคการเล่นบาสเกตบอล

ทำอย่างไรให้ลอยตัวในอากาศได้นานและกระโดดได้สูง
มีขอแนะนำในสิ่งที่เหมาะกับสภาพนักกีฬาในบ้านเรานะครับวิธีง่ายๆก็คือ การวิ่งเพื่อความอดทนโดยวิ่งรอบสนามอย่างน้อย 4 รอบ(1,600 เมตร) อย่างน้อย ประมาณ 1 เดือน แล้วจึงค่อยเพิ่มความเร็วโดยการวิ่งระยะสั้น สลับกับการวิ่งระยะยาว ต่อมาในเดือนที่ 2 เดือนที่ 3 ควรเน้นหนักในการฝึกการกระโดด ดังนี้ 1.กระโดดข้ามกล่องกระดาษซึ่งมีความสูงประมาณ 1 ฟุต กว้าง 1 ฟุต กระโดดเท้าคู่ไปทางด้านข้าง ซ้ายที ขวาที2.กระโดดยกเข่าแตะอก3.กระโดดยกส้นเท้าแตะก้น4.กระโดดข้ามกล่องกระดาษ 4 กล่องซึ่งวางเรียงกัน โดยแต่ละกล่องห่างกัน 2 ฟุต กระโดดเท้าคู่ข้ามทีละกล่องอย่างต่อเนื่อง5.กระโดดเอามือแตะขอบแป้นบาส6.กระโดดอยู่กับที่อย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 20 ครั้ง พยายามเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เน้นการถีบตัวกระโดดให้สูงขึ้นแต่มีข้อแนะนำวิธีการกระโดด เพราะเห็นนักกีฬาจำนวนมากที่บาดเจ็บหัวเข่า เนื่องจากกระโดด ไม่ถูกวิธี โดยการกระโดดที่ถูกวิธีนั้นจะต้องย่อตัวทั้งก่อนกระโดด และหลังการกระโดดขึ้นไปแล้ว เมื่อปลายเท้าแตะพื้นจะต้องย่อตัวพร้อมทั้งเหยียบพื้นเต็มเท้า ก่อนการกระโดดจะต้องย่อตัวลง (ย่อตัวนะครับไม่ใช้ก้มตัว) เขย่งส้นเท้าขึ้น จิกปลายเท้าให้แน่นแล้วถีบ ตัวขึ้นไป เมื่อลงสู่พื้นก็ใช้ปลายเท้าลงจึงตามด้วยส้นเท้าแล้วย่อตัว อย่าใช้ส้นเท้าลงก่อนปลายเท้าเพราะจะทำให้น้ำหนักทั้งตัว ลงที่ส้นเท้าจะเจ็บส้นเท้าและอาจเป็นรอยช้ำ เมื่อเหยียบพื้นเต็มเท้า ให้ทิ้งตัวย่อลงอย่ายืนตัวแข็ง เพราะจะทำให้หัวเข่ารับน้ำหนัก และบาดเจ็บที่หัวเข่าได เมื่อฝึกทุกอย่างแล้วให้สลับฝึกทุกวันเช่น วิ่งระยะยาว วิ่งเร็ว กระโดด ความคล่องตัว ทำเป็นประจำคุณก็จะสามารถกระโดดได้สูงและลอยตัวในอากาศ ได้นานกว่าเดิมแน่นอน
ทำอย่างไรจึงยืนป้องกันได้ดี
การยืนป้องกันจะต้องอยู่ในท่าย่อตัวหรือท่าสมดุล ยืนเต็มฝ่าเท้า น้ำหนักอยู่กึ่งกลางฝ่าเท้าทั้งสองข้างและให้มี ความรู้สึกว่าน้ำหนักส่วนใหญ่จะอยู่ที่ก้นคล้ายกับว่าเรานั่งบนเก้าอี้ เมื่ออยู่ในท่าย่อขณะป้องกันจะต้องมองไปที่ท้องของผู้ถือบอล ยืนห่างจากผู้ถือบอล 1 ช่วงแขน ห้ามมองที่ตาหรือบอลเด็ดขาด(เพราะอาจโดนหลอกเอาง่ายๆ) บอลจะเคลื่อนไปได้ด้วยมือโยกไปมา แต่ถ้าร่างกายเคลื่อนจะต้องมีการเคลื่อนไหวทั้งลำตัว ดังนั้นท้องจะต้องเคลื่อนไปด้วย ถ้าท้องเคลื่อนจึงค่อยเคลื่อนไปตามทิศทาง ที่ท้องเคลื่อนไป
ทำอย่างไรให้เลี้ยงบอลได้คล่อง
สิ่งแรกที่จะทำให้เราเลี้ยงบอลคล่องแคล่วว่องไว จนกระทั่งสามารถหลบหลีกการป้องกันของคู่แข่งขัน คือ "การจัดลักษณะท่าทางที่ถูกต้อง" ท่าทางที่ถูกต้องจะต้องอยู่ในท่าย่อตัว หรือถ้าจะพูดให้เกิดภาพที่ชัดเจนคือท่า "นั่งเก้าอี้" ถ้าถนัดมือขวาให้ใช้เท้าซ้ายอยู่เหนือเท้าขวา ช่องว่างระหว่างเท้ากว้างกว่าหัวไหล่ เท้าซ้ายคล่มบังบอลทำมุมประมาณ 45 องศา กับเท้าขวา (ทิศทางที่จะเลี้ยงไปถือว่าเป็นมุม 90 องศา กับลำตัวที่ยืนตรง เท้าซ้ายทำมุม 45 องศา กับด้านขวาของลำตัว) ในขณะที่หัวไหล่ทำมุมประมาณ 25 องศา ยกแขนซ่ายขึ้นในขณะที่เลี้ยงบอลช้าหรือขณะที่มีผู้ป้องกันจะเข้ามาแย่งบอล เมื่ออยู่ในลักษณะท่าทางที่ถูกต้อง ผู้ป้องกันจะไม่สามารถแย่งบอลได้ ถ้าผู้ป้องกันเข้ามาทางด้านขวามือ ผู้เลี้ยงจะหมุนตัวกลับเปลี่ยนทิศทางไปด้านซ้ายมือ โดยเปลี่ยนเลี้ยงบอลด้วยมือซ้ายและยกมือขวาขึ้นมาบังด้านหน้าไว้ ฝึกการเปลี่ยนทิศทางการพาบอลเช่น เปลี่ยนจากขวาไปซ้ายด้านหน้า เปลี่ยนจากซ้ายไปขวาด้านหน้า เปลี่ยนโดยการหมุนตัว เปลี่ยนโดยารตวัดหลัง เปลี่ยนโดยลอดระหว่างขาฝึกเลี้ยงบอลทุกวันโดยการพยายามจับจังหวะการขึ้นลงของบอลให้มือควบคุมลูกบอลได้ตลอดเวลา เมื่อ ประมาทสั่งให้ทำอะไรมือก็ต้องทำได้เช่นให้ไปซ้ายมือก็ต้องพาบอลไปด้านซ้าย เป็นต้น อย่าลืมนะครับการที่จะเลี้ยงบอลคล่องต้องฝึกตามวิธีการที่ถูกต้องทุกวัน

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2551

คุณกินนอน ตามเวลาของรางกายถูกต้องหรือไม่

คุณกินนอน ตามเวลาของร่างกายถูกต้องหรือไม่

เพราะคนเราถูกกำหนดช่วงเวลาในการทำกิจกรรมสำคัญมาแล้วอย่างแน่นอนตายตัว การปฏิบัติตัวให้เหมาะสมสอดคล้องกับโปรแกรมที่กำหนดไว้จึงเป็นขั้นแรกของการรักษาสุขภาพ การงดเว้นกิจกรรมที่ควรกระทำในเวลาที่กำหนดจึงคล้ายกับการไม่นำรถไปซ่อมตามระยะเวลา เมื่อร่างกายขาดการซ่อมบำรุง นานเข้าก็ย่อมเสื่อมสภาพในที่สุด
21.00 น. - 23.00 น. เวลาเข้านอน เพราะเป็นช่วงที่ระบบภูมิต้านทานโรคทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงสุด และสะสมพลังงานไว้ในคลังสำรองเพื่อใช้ในการซ่อมแซมตนเองตลอดทั้งคืน
23.00 น. - 01.00 น. เวลาของถุงน้ำดี พลังงานที่เก็บไว้ก่อนหน้านี้จะถูกนำมาที่ถุงน้ำดีเพื่อย่อยไขมัน ช่วงนี้จึงเป็นช่วงเวลาเดียวที่ไขมันจะได้รับการย่อยสลายอย่างมีประสิทธิภาพ หากร่างกายไม่ได้พักผ่อน ไขมันที่ไม่ผ่านการย่อยจะตกตะกอนอยู่ตามส่วนต่างๆ เช่น ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง ถุงใต้ตา เป็นต้น
01.00 น. - 03.00 น. เวลาของตับ ที่จะได้ทำหน้าที่สกัดสารพิษในร่างกาย ทำลายเม็ดเลือดที่หมดอายุและเสื่อมสภาพ สร้างสารที่ทำให้เลือดแข็งตัว และสร้างน้ำดีไปเก็บไว้ที่ถุงน้ำดีเพื่อใช้ย่อยไขมัน หากเราไม่นอนในช่วงนี้จะทำให้ตับอ่อนแอลง การผลิตน้ำดีลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อตับอ่อนและสัมพันธ์โดยตรงกับการผลิตอินซูลินด้วย จึงเพิ่มความเสี่ยงโรคความดันโลหิต เบาหวาน ฯลฯ
03.00 น. - 05.00 น. เวลาของปอด เพราะปอดทำงานได้อย่างเต็มที่ จึงเหมาะสมที่จะตื่นนอนเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ยังไม่ปนเปื้อน
05.00 น. - 07.00 น. เวลาของลำไส้ใหญ่ เพราะลำไส้ใหญ่จะมีพลังบีบรัดตัวสูงสุดเพื่อกำจัดกากอาหารออกไป หากไม่ได้ขับถ่ายในช่วงนี้ (แต่ไปขับถ่ายในเวลาอื่นแทน) คุณอาจขับถ่ายได้ไม่หมด มีอุจจาระบางส่วนตกค้างในลำไส้ และดูดซึมสารพิษกลับไปใช้ในกระแสเลือด ทำให้เกิดสิว ริ้วรอยบนใบหน้า การออกกำลังกายในช่วงเวลาก่อนหน้านี้จะช่วยให้ลำไส้ใหญ่ขยับตัวและขับถ่ายได้ดีขึ้น
07.00 น. - 09.00 น. เวลาของกระเพาะอาหาร หลังจากที่ทำงานซ่อมแซมส่วนต่างๆมาแล้วทั้งคืน ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่กระเพาะอาหารจะย่อยอาหารได้อย่างดีที่สุด หลั่งน้ำย่อยมากที่สุดเพื่อย่อยอาหารไปหล่อเลี้ยงทั้งร่างกาย การงดอาหารเช้านอกจากจะเพิ่มความเสี่ยงโรคกระเพาะแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงโรคในอวัยวะอื่นๆ (ที่ต้องการพลังงานจากกระเพาะอาหาร) และทำให้หิวจุบจิบทั้งวัน
09.00 น. - 11.00 น. เวลาของม้าม ที่จะรับพลังงานจากการย่อยอาหารมาแปรสภาพเป็นการผลิตเม็ดเลือดแดงเพื่อนำไปดำเนินกิจกรรมต่างๆของร่างกายตลอดทั้งวัน หากไม่ได้รับพลังงานจากอาหารเช้า ม้ามจะต้องดึงพลังงานสำรองอกมาใช้ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรี่องอาหาร

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องอาหาร

แน่นอน สาวหลายๆ คนคงจะปฏิเสธกันไม่ได้ใช่มั้ยล่ะคะว่า คุณยังมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินกันอยู่ เราเลยถือโอกาสนํา 10 ความเข้าใจผิดในเรื่องอาหารมาฝากสาวๆ กัน เผื่อจะได้ปรับความเข้าใจกันเสียใหม่ ไม่ต้องหลงเชื่อกันแบบผิดๆ อย่างนี้อีกต่อไปแล้วละ
1.งดมื้อเช้า ถ้าใครกําลังทําอยู่ก็เลิกเสียเถอะค่ะ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สําคัญมาก นอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานให้คุณสู้งานได้อย่างไม่มีถอยแล้ว ยังช่วยให้ไม่หิวมากด้วยก่อนที่จะถึงมื้อต่อไป
2.งดกินทุกอย่างก่อนออกกําลังกาย ไม่ควรค่ะ เพราะร่างกายต้องการพลังงานเพื่อนํามาใช้ในการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ อยู่แล้ว ฉะนั้น ก่อนออกกําลังกายควรกินพวกอาหารที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (เพราะมีไฟเบอร์มากและไขมันต่ำด้วย) อย่างโยเกิร์ต นมถั่วเหลือง หรือขนมปังค่ะ
3.หลังออกกําลังกาย ควรเว้นช่วงนานๆ แล้วจึงค่อยกิน จริงๆ แล้ว ไม่ต้องเว้นไว้นานขนาดนั้นก็ได้ กินหลังจากออกกําลังกายไปแล้ว 1 ชั่วโมงก็โอ.เค.แล้วละ และควรเลือกกินอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรเชิงซ้อนด้วยนะ เพราะจะได้ไปช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญและช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้ดีขึ้นค่ะ
4.กินขนมที่มีส่วนประกอบของโปรตีนหรือโปรตีนเชคแทนข้าว อาหารขบเคี้ยวเหล่านี้ใช่ว่าจะไม่มีแคลอรีหรือไขมันเลยนะคะ อีกทั้งโปรตีนเชคนั้นก็ไม่มีไฟเบอร์อีกด้วย สรุปแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้กินอาหารจริงๆ เข้าไปหรอกค่ะ
5.เชื่อมั่นในฉลาก อย่าเชื่อในทุกๆ สิ่งที่คุณได้อ่าน โดยเฉพาะฉลากที่ติดอยู่ข้างๆ ขวดเครื่องดื่ม เพราะยังมีอีกหลายๆ โรงงานที่ขาดการควบคุมที่เคร่งครัดอยู่ ทางที่ดี ก่อนซื้อควรดูองค์ประกอบหลายๆ อย่างรวมกัน แล้วจึงค่อยตัดสินใจ
6.กินน้อยๆ คนส่วนมากมักจะกลัวไม่กล้ากินเยอะจนบางครั้งพลังงานที่รับเข้าไปไม่เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการสําหรับทํากิจกรรมนั้นๆ อย่าลืมสิคะว่า กินน่ะกินได้ แต่ก็อย่าให้มากจนเกินไปนัก เพราะร่างกายจะเผาผลาญไม่ทัน เกิดเป็นไขมันสะสม แล้วต้องมานั่งกลุ้มไดเอ็ทกันใหม่ จะยุ่งเอานะ
7.ออกกําลังกายเท่านั้นคือหนทางการลดอ้วน ถึงแม้ว่าคุณจะออกกําลังกายบ่อยแค่ไหนก็ตาม แต่หากขาดการวางแผนการกินที่ดีต่อสุขภาพแล้ว การออกกําลังกายที่ทําไปก็ถือว่าสูญเปล่าได้นะ
8.ไม่ควรกินน้ำมากๆ ขณะออกกําลังกาย ผิดค่ะ การเสียน้ำมากๆ ไม่ดีต่อร่างกายเลยนะคะ โดยเฉพาะเวลาที่กําลังอยู่ในที่ร้อนๆ ฉะนั้น ระหว่างและหลังออกกําลังกายก็อย่าลืมดื่มน้ำเข้าไปให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายด้วยละ
9.ไดเอ็ทแบบอดๆ แน่นอนค่ะว่าการลดน้ำหนักแบบนี้จะเห็นผลเร็วและง่ายต่อการปฏิบัติด้วย แต่มันก็ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องนัก คุณควรหันกลับมาใช้วิธีแบบเดิมๆ คือควบคุมอาหารและออกกําลังกายควบคู่ไปด้วยจะดีกว่าค่ะ
10.กินโปรตีนเยอะๆ แป้งน้อยๆ หลายๆ คน อาจจะกําลังฮิตกับการไดเอ็ทประเภทนี้มาก คือ ไม่กินพวกข้าวหรือขนมปังเลย อย่าลืมสิคะว่า คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนก็มีความสําคัญต่อการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อนะ เอ้า...ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว ทิ้งมันได้ลงก็ให้มันรู้ไป!

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการมีสุขภาพดี

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการมีสุขภาพดี
'เอ...มันจริงหรือเปล่าหว่า' คุณคงจะเคยแอบสงสัยเรื่องเหล่านี้ว่ามันจริงเท็จแค่ไหนใช่ไหมคะ ต่อจากนี้ ความสับสนของคุณจะถูกขจัดไป เพียงคุณอ่านคอลัมน์ Well being ตอนนี้ (และตอนต่อๆ ไป) คุณก็สามารถเดินหน้าดูแลสุขภาพของคุณได้โดยไม่ต้องกังวลแล้วค่ะ
ผิด! - ไม่ต้องกินอาหารเช้าก็ได้ เดี๋ยวค่อยรวบไปมื้อกลางวันทีเดียว ถูก! - ร่างกายของคุณเพิ่งจะอิดโรยหลังจากขาดอาหารมาหล่อเลี้ยงในช่วงการนอน อาหารเช้าจึงเป็นมื้อสำคัญในการเพิ่มการเผาผลาญพลังงานค่ะ การงดอาหารเช้าไม่ทำให้คุณผอม เพราะคุณจะยิ่งกินมื้อกลางวันและมื้อเย็นไปเยอะโดยไม่รู้ตัว ไม่ต้องกลัวอ้วน เพราะพลังงานจากอาหารมื้อเช้าจะถูกใช้ไประหว่างวันอยู่แล้ว
ผิด! - อย่ากินอาหารหลัง 6 โมงเย็นเพราะจะทำให้อ้วนถูก! - ไม่เกี่ยวกับว่าคุณกินอาหาร 'เมื่อไร' แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือคุณกิน 'อะไร' ต่างหาก ต่อให้คุณกินพิซซ่าชีสตู้มตอน 5 โมงเย็นก็ทำให้อ้วนได้ค่ะ นอกจากนั้น ถ้าไม่อยากอึดอัดตอนนอน ก็ไม่ควรกินอาหารจนอิ่มแน่นเกินนะคะ
ผิด! - ไขมันและแป้งวายร้ายทำลายสุขภาพถูก! - ไม่ใช่การ 'กำจัด' แต่สิ่งที่คุณควรทำคือ 'จำกัด' ประเภทและปริมาณของคาร์โบไฮเดรตและไขมันอย่างเหมาะสมต่างหาก คาร์โบไฮเดรตและไขมันเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์และจำเป็นต่อร่างกาย คุณควรเลือกกินอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนมาก เช่น น้ำมันมะกอก เมล็ดทานตะวัน ถั่วเหลือง ปลาทะเล และแป้งที่ไม่ผ่านการขัดสีมากนัก เช่น ข้าวซ้อมมือ ขนมปังหรือพาสต้าโฮลวีต ถั่วแดง ส่วนเนื้อสัตว์ติดมันและแป้งขัดขาวนั่นแหละคือวายร้ายตัวจริงที่มาในคราบความอร่อย
ผิด! - ออกกำลังกายอย่างหนักทุกวันทำให้ร่างกายแข็งแรงถูก! - การออกกำลังกายอย่างหักโหมเกินกำลังมีแต่จะทำให้ร่างกายคุณบอบช้ำค่ะ การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ถึงกับต้องทำทุกวันก็ได้ อย่างน้อย 3-4 วันต่อสัปดาห์ เพียงวันละครึ่งชั่วโมงก็เป็นอันใช้ได้แล้วค่ะ ส่วนวันที่เหลือก็เพื่อให้ร่างกายคุณได้พักผ่อนฟื้นฟูสภาพกล้ามเนื้อบ้าง
ผิด! - มีเซ็กซ์ช่วยให้ผอมได้ถูก! - นั่นแน่! คุณชอบใช้ข้ออ้างนี้ไปกุ๊กกิ๊กกับแฟนใช่ไหมล่ะ ต่อไปนี้คงใช้ไม่ได้แล้วละ เพราะที่ถูกนั้นการมีเซ็กซ์ไม่เกี่ยวกับการผอม แต่มันช่วยให้จิตใจคุณมีความสุขกระชุ่มกระชวยได้มากกว่า (ถ้าผลลัพธ์ออกมาไม่แย่นะครับ!) จริงอยู่ว่าการมีเซ็กซ์แต่ละครั้งใช้พลังงานไปมากอยู่ แต่ไม่ต้องถึงกับทำจนผอมหรอกนะ เดี๋ยวจะโทรมเปล่าๆ
ผิด! - เงินซื้อสุขภาพดีได้ถูก! - ไม่จำเป็นต้องเสียเงินมากมายก็มีสุขภาพดีได้ คุณสามารถไปวิ่งหรือปั่นจักรยานที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน แทนการไปฟิตเนสได้ คุณก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองซื้อวิตามินรวมมากินเลย เพียงแค่หันมากินอาหารที่หลากหลายประเภทมากขึ้นเท่านั้นเอง กินปลาทูหรือปลากระป๋องก็ได้โอเมกา-3 เหมือนกินปลาแซลมอน
ผิด! - ถ้าไม่ป่วย ไม่อ้วน ก็ไม่ต้องห่วงสุขภาพก็ได้ถูก! - สุขภาพดีไม่ใช่เพียงแค่การไม่อ้วนหรือไม่ป่วยเท่านั้นนะ คนผอมๆ บางคนก็มีคอเลสเตอรอลสูงกว่าคนอ้วนได้ สุขภาพเป็นเรื่องของชีวิตคุณเอง ใครก็ดูแลให้ไม่ได้ครับถ้าไม่ใช่ตัวคุณ อย่ารอจนต้องนอนพะงาบๆ หยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลก่อนเลยค่ะ
ผิด! - มีแต่ผู้หญิงและเกย์เท่านั้นแหละที่กินอาหารเพื่อสุขภาพ ถูก! - ไม่ว่าใครก็ควรใส่ใจสุขภาพทั้งนั้นแหละครับ หนุ่มๆ หลายคน ก็คงอยากแข็งแรงฟิตปั๋งกันทุกคนใช่ไหมล่ะคะ น่าอายจะตายถ้าคุณควงแฟนสาว แล้วคนอื่นนึกว่าเธอมากับพ่อ
ผิด! - ดูแลสุขภาพ...ยากชะมัดถูก! - การดูแลสุขภาพไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ เพียงแค่คุณเติมความใส่ใจให้ชีวิตของคุณบ้างอีกนิดเท่านั้น แค่ทำตามหลักการง่ายๆ 4 ข้อ คือ กินอาหารที่มีประโยชน์, ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ, พักผ่อนให้เพียงพอ และทำจิตใจให้แจ่มใส อ้อ! หลักการเหล่านี้ไม่ได้เคร่งครัดตายตัวนะคะ ไม่ผิดหรอกถ้าคุณจะกินไอศกรีมรสโปรดบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อเติมความสดชื่นให้ชีวิต ลองเปลี่ยนชีวิตเพียงนิดเดียว ชีวิตคุณก็จะมีความสุขขึ้นอีกเป็นกองค่ะ

ทำไมต้องตรวจสุขภาพ

ทำไมต้องตรวจสุขภาพ
คนก็เหมือนกับรถ ทุกๆ 5,000-10,000 กิโลเมตร ก็ต้องเข้าอู่ให้ช่างจูนอัพ หรือเช็คสภาพรถสักที เพื่อดูว่ามีอะไรสึกหรอหรือชำรุด ต้องซ่อมแซม หรือเปลี่ยนอะไหล่อะไรบ้าง ก่อนที่จะเสียหายหรือชำรุดจนขับไม่ได้ หรือไปเกิดอันตรายระหว่างเดินทาง

ทำไม...ต้องตรวจสุขภาพประจำปี?
คนก็เหมือนกับรถ ทุกๆ 5,000-10,000 กิโลเมตร ก็ต้องเข้าอู่ให้ช่างจูนอัพ หรือเช็คสภาพรถสักที เพื่อดูว่ามีอะไรสึกหรอหรือชำรุด ต้องซ่อมแซมหรือเปลี่ยนอะไหล่อะไรบ้าง ก่อนที่จะเสียหายหรือชำรุดจนขับไม่ได้ หรือไปเกิดอันตรายระหว่างเดินทาง ร่ายกายคนเราก็เช่นเดียวกัน ก็ควรจะเข้าโรงหมอ ให้แพทย์เช็คสภาพเป็นระยะ ๆ ก่อนที่จะป่วยขึ้นมา ยิ่งแก่ตัวลงก็ต้องยิ่งเช็คถี่ขึ้น และเช็คมากอย่างขึ้น หรือยิ่งถ้าเป็นโรคบางอย่างอยู่แล้ว เช่นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือติดเชื้อเอชไอวี ก็ยิ่งต้องเช็คบ่อยขึ้นและละเอียดมากขึ้น

การตรวจสุขภาพประจำปีสำหรับคนทั่วไป ตรวจเพื่อให้รู้ล่วงหน้าว่าร่างกายเรามีความผิดปรกติ หรือมีสภาพไม่สมบูรณ์อะไรอยู่บ้าง เช่น สายตาสั้น สายตายาว ความดันโลหิตสูง น้ำตาล หรือไขมันในเลือดสูง เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ซี หรือเชื้อเอชไอวี หรือมีมะเร็งระยะเริ่มแรกของปากมดลูก หรือเต้านม เป็นต้น ตัวเราอาจไม่มีอาการอะไรเลย ถ้าไม่ไปตรวจเช็คสุขภาพประจำปี ก็ไม่อาจสามารถทราบได้ จะรู้ตัวก็ต่อเมื่อมีอาการหรือป่วยขึ้นมา ซึ่งอาจจะสายเกินไป หรือโรคกำเริบมากจนเยียวยาให้ดีขึ้น หรือรักษาให้หายขาดไม่ได้ หรือเยียวยาแล้วสภาพอาจไม่ปรกติเหมือนเดิม การที่เราตรวจรู้ก่อน จะทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือดูแลรักษาแต่เนิ่น ๆ เพื่อไม่ให้ป่วยขึ้นมา หรือทำให้ความผิดปรกตินั้นเบาบางลงได้ เช่น แม้จะทราบว่าตัวเองติดเชื้อเอดส์ ก็สามารถดูแลรักษาไม่ให้ป่วย ไม่ให้ตายได้ และป้องกันไม่ให้คนที่เรารักติดเชื้อเอดส์จากเราได้
การตรวจเช็คสุขภาพประจำปีประกอบด้วยการซักประวัติ และตรวจ ร่างกายอย่างละเอียดจากแพทย์ การตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ อุจจาระ การเอ็กซเรย์ และการตรวจพิเศษอีกหลาย ๆ อย่างตามอายุ เพศ อาการ ประวัติการเจ็บป่วย หรือประวัติของยาที่ใช้อยู่ และที่สำคัญคือ ตามกำลังทรัพย์ของคนไข้ อย่างที่เราเห็นตามโรงพยาบาลเอกชนซึ่งมีโปรแกรมการตรวจเช็คสุขภาพประจำปีในราคาต่าง ๆ กัน
การตรวจขั้นพื้นฐานควรประกอบด้วยการตรวจการทำงานของตับ ไต น้ำตาล และไขมันในเลือด ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด การฉายรังสีปอด และการตรวจมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง ในคนที่มีอายุมากขึ้น อาจต้องตรวจคลื่นหัวใจ ตรวจมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ และมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย เป็นต้น

บทความจากเวปไซด์สภากาชาติไทย โดย : ศ.นพ.ประพันธ์ ภานุภาค

แม้ว่าปัจจัยหลัก ที่ทำให้ร่างกายมีความสมบูรณ์แข็งแรง อยู่ที่โภชนาการที่ดี การดำเนินชีวิตที่เหมาะสมการหลีกเลี่ยงอบายมุข และการออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ใช่ว่าทุกคน จะสามารถทำเรื่องเหล่านี้ ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์และต่อเนื่องตลอดอายุขัย การตรวจสุขภาพ เพื่อดูสภาพความสมบูรณ์ของร่างกาย ค้นหาความผิดปกติ ที่ส่งสัญญาณเตือนเจ้าของร่างกายให้ดู และรักษา และป้องกันตนเองเสียก่อน ที่จะเป็นโรค ช่วยลดปัญหา ที่จะนำไปสู่การสูญเสีย ทั้งทางด้านสุขอนามัย และทางด้านเศรษฐกิจ โดยปกติ หากไม่มีอาการเจ็บไข้ได้ป่วย เราทุกคนควรได้รับ การตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้งโดยรายละเอียดของการตรวจจะแตกต่างกันไป ในแต่ละช่วงอายุ และปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ โดยพิจารณาจาก ประวัติของบุคคลในครอบครัว โดยเฉพาะโรคที่มีความชัดเจน ในเรื่องของการถ่ายทอดทางพันธุกรรม อาการผิดปกติ ของแต่ละบุคคล ที่สังเกตเห็น หรือสงสัยความผิดปกติ ที่เคยตรวจพบในอดีต ลักษณะการดำเนินชีวิตที่อาจจะเป็นปัจจัยการเกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น การใช้สารเสพติด ความเครียด การสูบบุหรี่ เป็นต้น
ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพโรงพยาบาลกรุงเทพตราดรวบรวมการตรวจสุขภาพและงานส่งเสริมสุขภาพในด้านต่างๆ มารวมกันด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพการให้บริการอย่างต่อเนื่อง และเน้นการให้บริการที่เป็นเสมือน "เพื่อนนำทางส่วนตัวด้านสุขภาพ" พร้อมแนะนำเพื่อให้ผู้มารับบริการได้เล็งเห็นความสำคัญของการตรวจดูแลสุขภาพตนเองอย่างสม่ำเสมอ โดดเด่น และแตกต่างโปรแกรมการตรวจสุขภาพที่คัดสรรเฉพาะ ตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล พร้อมด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะระบบ บริการฉับไว รับผลตรวจภายในวันเดียว
เพราะแต่ละคน... เสี่ยงต่างกัน...นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมต้องตรวจสุขภาพประจำปีที่ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพที่นี่เราเริ่มต้นจากการศึกษา วิเคราะห์และแยกแยะปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคของแต่ละคนในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ประวัติบุคคลในครอบครัวเกี่ยวกับโรคที่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ลักษณะการดำเนินชีวิต เช่น พฤติกรรมการบริโภค ความเครียดจากการทำงาน การดื่มสุรา การสูบบุหรี่ นอนไม่หลับ ฯลฯ จากนั้นทางศูนย์จะนำข้อมูลทั้งหมด มาคัดสรรโปรแกรมการตรวจร่างกายเฉพาะของแต่ละบุคคลขึ้นมา เพื่อความเหมาะสมอัน เนื่องมาจากต้นเหตุของความเสี่ยงด้านต่างๆ

การเดินเพื่อสุขภาพ


มา เดิน เพื่อสุขภาพกันเถอะ
คนทำงานออฟฟิศอย่างเรา ๆ ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าในแต่ละวันงานยุ่งมาก กว่าจะเสร็จงานก็หมดวันแล้ว จะหาเวลาที่ไหนไปออกกำลังกายล่ะ ท่านทราบมั๊ยคะ? การทำงานนั่งโต๊ะทั้งวันโดยไม่เคลื่อนไหวร่างกาย

การเดินเพื่อสุขภาพ
เริ่มต้นกันเลย หาเวลาว่างวันพรุ่งนี้ ประมาณ 20-40 นาที แล้วออกไปเดินกัน เตรียมเสื้อผ้าและรองเท้าที่ใส่สบายๆไปด้วย การเดินเพื่อสุขภาพ ไม่ควรทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยอ่อน แต่ควรจะทำให้คุณรู้สึกสนุก
อย่าหักโหมจนเกินไป คุณอาจทดสอบว่าตัวเองหักโหมไปหรือไม่ ด้วยวิธีง่ายๆ โดยลองพูดในระหว่างการเดิน ถ้าคุณต้องหยุดพูดเพื่อหายใจ แสดงว่าคุณกำลังหักโหมมากเกินไป คุณอาจจะนัดเพื่อนของคุณ และคุยกันระหว่างเดิน แทนที่จะนัดกันที่ร้านกาแฟ หรือคุณอาจใช้วิธีเดินไปซื้อของแทนการใช้รถ และถ้าคุณมีของที่ต้องนำติดตัวไปด้วย ลองใช้กระเป๋าที่ใช้สะพายหลังเพื่อเก็บของ การถือของในมือ จะทำให้คุณเหนื่อย และเมื่อยล้า ระหว่างทางลองสังเกตุสิ่งรอบๆตัวคุณ คุณจะพบว่ามีสิ่งที่คุณไม่เคยสังเกตุเห็นเลยในขณะที่คุณขับรถ คุณอาจจะเห็นท่าทางแปลกๆ ของสัตว์เลี้ยง รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้คน ของตั้งโชว์ตามหน้าร้านข้างถนน
หลังจากที่คุณเริ่มเดินไปได้ 2-3 เดือน ลองสำรวจความรู้สึกของตัวคุณเอง อย่าหวังว่าตัวคุณจะรู้สึกแข็งแรง หรือรู้สึกว่ามีพละกำลังมาก สิ่งที่คุณจะรู้สึกคือ คุณไม่รู้สึกอ่อนเพลียจากการเดิน หรือถ้ามีก็มักหายไปใน 1-2 ชั่วโมง แต่อารมณ์และความรู้สึกของคุณจะดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
เตรียมร่างกายของคุณก่อนการเดิน (วอร์มอัพ) คุณควรจะรู้สึกสนุกเช่นเดียวกันขณะที่คุณกำลังวอร์มอัพ การเตรียมร่างกายให้พร้อมจะช่วยลดการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นจากการออกกำลัง การวอร์อัพจะเพิ่มเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ เพิ่มออกซิเจนไปยังเซลต่างๆ และพร้อมสำหรับการออกกำลัง การวอร์มอัพจะดึงยืดกล้ามเนื้อเอ็น ให้พร้อม รวามทั้งสภาพทางจิตใจของคุณด้วย คุณอาจวอร์มอัพด้วยการเดินช้าๆ ประมาณ 5-10 นาทีก่อนเริ่มเดินจริง
ค่อยๆเพิ่มการเดินทีละน้อย คุณอาจจะเริ่มด้วยการเดินสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ประมาณ 2 เดือน แล้วเพิ่มขึ้นเป็นวันเว้นวันอีกประมาณ 2 เดือน เพิ่มเป็น 4-5 วันต่อสัปดาห์ จนในที่สุด ทุกวัน ร่างกายของคุณต้องการการปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป การเริ่มต้นออกกำลังมากๆ โดยทันทีอาจจะทำให้ร่างกายคุณได้รับบาดเจ็บได้
จดบันทึกการเดินของคุณ แล้ววางบันทึกการเดินของคุณในตำแหน่งที่คุณเห็นง่ายๆ เช่นที่ประตูของตู้เย็น จดบันทึกทุกอย่างที่สามารถนับได้ โดยจดบันทึกทุกสัปดาห์ เช่น จำนวนวันที่คุณเดินต่อสัปดาห์ เวลาที่คุณใช้ในการเดิน ระยะทางที่เดิน เป็นต้น บันทึกเหล่านี้จะเป็นเพื่อนที่ช่วยเตือนคุณ ให้กำลังใจคุณ และเมื่อคุณทำได้ตามเป้าที่วางไว้ ให้รางวัลกับตัวเองด้วยอุปกรณ์ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการเดิน เช่น รองเท้าคู่ใหม่ ถุงเท้าคู่ใหม่ หรือไปพักผ่อนตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
ปรับปรุงวิธีการเดินของคุณ เดินตัวตรง ขณะเดินให้เท้าคุณสัมผัสพื้นจากส้นเท้าไปปลายเท้า ถ้าเดินขึ้นเนิน เดินให้ช้าลง เอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย แกว่งแขนให้มากขึ้นเล็กน้อย เมื่อเดินลงเนิน พยายามควบคุมความเร็วไว้ก้าวสั้นๆ และวางเท้าเบาๆ
เปลี่ยบบรรยากาศในการเดิน เมื่อคุณเดินทุกวันได้ประมาณ 6 เดือนแล้ว คุณจะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการเดินใดๆ ลองเปลี่ยนบรรยากาศการเดินไปเดินในที่ต่างๆ หรืออาจลองเดินให้เร็วขึ้น หรือเดินให้ได้ระยะทางมากขึ้น
คุณอาจใช้เวลาในการพักดื่มกาแฟของคุณมาใช้เป็นการเดินแทน ถ้าคุณไม่มีเวลาจริงๆ เวลา 10 นาทีในการดื่มกาแฟในตอนสายและตอนบ่าย ก็เพียงพอสำหรับการเดินเพื่อสุขภาพ และถ้าคุณเดินแล้ว ยังรู้สึกอยากดื่มกาแฟ ก็ดื่มได้ แต่โดยส่วนใหญ่ คุณมักจะรู้สึกสดชื่นจนไม่อยากดื่มกาแฟอีก
มา เดิน เพื่อสุขภาพกันเถอะ
คนทำงานออฟฟิศอย่างเรา ๆ ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าในแต่ละวันงานยุ่งมาก กว่าจะเสร็จงานก็หมดวันแล้ว จะหาเวลาที่ไหนไปออกกำลังกายล่ะ ท่านทราบมั๊ยคะ? การทำงานนั่งโต๊ะทั้งวันโดยไม่เคลื่อนไหวร่างกาย

การเดินเพื่อสุขภาพ
เริ่มต้นกันเลย หาเวลาว่างวันพรุ่งนี้ ประมาณ 20-40 นาที แล้วออกไปเดินกัน เตรียมเสื้อผ้าและรองเท้าที่ใส่สบายๆไปด้วย การเดินเพื่อสุขภาพ ไม่ควรทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยอ่อน แต่ควรจะทำให้คุณรู้สึกสนุก
อย่าหักโหมจนเกินไป คุณอาจทดสอบว่าตัวเองหักโหมไปหรือไม่ ด้วยวิธีง่ายๆ โดยลองพูดในระหว่างการเดิน ถ้าคุณต้องหยุดพูดเพื่อหายใจ แสดงว่าคุณกำลังหักโหมมากเกินไป คุณอาจจะนัดเพื่อนของคุณ และคุยกันระหว่างเดิน แทนที่จะนัดกันที่ร้านกาแฟ หรือคุณอาจใช้วิธีเดินไปซื้อของแทนการใช้รถ และถ้าคุณมีของที่ต้องนำติดตัวไปด้วย ลองใช้กระเป๋าที่ใช้สะพายหลังเพื่อเก็บของ การถือของในมือ จะทำให้คุณเหนื่อย และเมื่อยล้า ระหว่างทางลองสังเกตุสิ่งรอบๆตัวคุณ คุณจะพบว่ามีสิ่งที่คุณไม่เคยสังเกตุเห็นเลยในขณะที่คุณขับรถ คุณอาจจะเห็นท่าทางแปลกๆ ของสัตว์เลี้ยง รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้คน ของตั้งโชว์ตามหน้าร้านข้างถนน
หลังจากที่คุณเริ่มเดินไปได้ 2-3 เดือน ลองสำรวจความรู้สึกของตัวคุณเอง อย่าหวังว่าตัวคุณจะรู้สึกแข็งแรง หรือรู้สึกว่ามีพละกำลังมาก สิ่งที่คุณจะรู้สึกคือ คุณไม่รู้สึกอ่อนเพลียจากการเดิน หรือถ้ามีก็มักหายไปใน 1-2 ชั่วโมง แต่อารมณ์และความรู้สึกของคุณจะดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
เตรียมร่างกายของคุณก่อนการเดิน (วอร์มอัพ) คุณควรจะรู้สึกสนุกเช่นเดียวกันขณะที่คุณกำลังวอร์มอัพ การเตรียมร่างกายให้พร้อมจะช่วยลดการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นจากการออกกำลัง การวอร์อัพจะเพิ่มเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ เพิ่มออกซิเจนไปยังเซลต่างๆ และพร้อมสำหรับการออกกำลัง การวอร์มอัพจะดึงยืดกล้ามเนื้อเอ็น ให้พร้อม รวามทั้งสภาพทางจิตใจของคุณด้วย คุณอาจวอร์มอัพด้วยการเดินช้าๆ ประมาณ 5-10 นาทีก่อนเริ่มเดินจริง
ค่อยๆเพิ่มการเดินทีละน้อย คุณอาจจะเริ่มด้วยการเดินสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ประมาณ 2 เดือน แล้วเพิ่มขึ้นเป็นวันเว้นวันอีกประมาณ 2 เดือน เพิ่มเป็น 4-5 วันต่อสัปดาห์ จนในที่สุด ทุกวัน ร่างกายของคุณต้องการการปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป การเริ่มต้นออกกำลังมากๆ โดยทันทีอาจจะทำให้ร่างกายคุณได้รับบาดเจ็บได้
จดบันทึกการเดินของคุณ แล้ววางบันทึกการเดินของคุณในตำแหน่งที่คุณเห็นง่ายๆ เช่นที่ประตูของตู้เย็น จดบันทึกทุกอย่างที่สามารถนับได้ โดยจดบันทึกทุกสัปดาห์ เช่น จำนวนวันที่คุณเดินต่อสัปดาห์ เวลาที่คุณใช้ในการเดิน ระยะทางที่เดิน เป็นต้น บันทึกเหล่านี้จะเป็นเพื่อนที่ช่วยเตือนคุณ ให้กำลังใจคุณ และเมื่อคุณทำได้ตามเป้าที่วางไว้ ให้รางวัลกับตัวเองด้วยอุปกรณ์ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการเดิน เช่น รองเท้าคู่ใหม่ ถุงเท้าคู่ใหม่ หรือไปพักผ่อนตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
ปรับปรุงวิธีการเดินของคุณ เดินตัวตรง ขณะเดินให้เท้าคุณสัมผัสพื้นจากส้นเท้าไปปลายเท้า ถ้าเดินขึ้นเนิน เดินให้ช้าลง เอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย แกว่งแขนให้มากขึ้นเล็กน้อย เมื่อเดินลงเนิน พยายามควบคุมความเร็วไว้ก้าวสั้นๆ และวางเท้าเบาๆ
เปลี่ยบบรรยากาศในการเดิน เมื่อคุณเดินทุกวันได้ประมาณ 6 เดือนแล้ว คุณจะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการเดินใดๆ ลองเปลี่ยนบรรยากาศการเดินไปเดินในที่ต่างๆ หรืออาจลองเดินให้เร็วขึ้น หรือเดินให้ได้ระยะทางมากขึ้น
คุณอาจใช้เวลาในการพักดื่มกาแฟของคุณมาใช้เป็นการเดินแทน ถ้าคุณไม่มีเวลาจริงๆ เวลา 10 นาทีในการดื่มกาแฟในตอนสายและตอนบ่าย ก็เพียงพอสำหรับการเดินเพื่อสุขภาพ และถ้าคุณเดินแล้ว ยังรู้สึกอยากดื่มกาแฟ ก็ดื่มได้ แต่โดยส่วนใหญ่ คุณมักจะรู้สึกสดชื่นจนไม่อยากดื่มกาแฟอีก

การสลายไขมัน

การสลายไขมัน
คนส่วนใหญ่ ยอมรับว่า การออกกำลังการ ร่วมกับการรับประทานอาหาร ที่มีไขมันต่ำ ไฟเบอร์สูง จะเป็นสูตรสำเร็จ ของการรักษาสุขภาพที่ดี
การออกกำลังกาย มีความสำคัญมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการควบคุมน้ำหนัก เพราะพลังงาน ที่เราใช้ในช่วงปกติ เป็นผลจากการทำงานของ กล้ามเนื้อต่างๆ ทั้งยังมีแนวโนัมว่า กล้ามเนื้อเราจะอ่อนล้าหย่อนยาน และมีการสะสมมากขึ้น ของไขมันเมื่ออายุเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อของเรา ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปตามอายุ เราจึงยังสามารถรักษา หรือ ควบคุมได้ด้วย การออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะพบได้ว่า การบริโภคอาหารไขมันต่ำ ไฟเบอร์สูง จะช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย แม้ในคนปกติ เหตุผลเป็นเพราะ เราทำให้เกิดสมดุล ระหว่างความรู้สึกถึงใจ กับความอิ่มท้อง เป้นที่รู้กันว่า เราสามารถจะบริโภคไขมันมากเกินความต้องการ ก่อนที่จะเริ่มรู้สึกอิ่มเสียอีก และโดยเฉพาะเมื่อทราบว่า ไขมันมีแคลอรี่สูงกว่า คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน ถึง 2 เท่า การรับประทานอาหาร ที่มีไฟเบอร์สูง ไขมันต่ำ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้อิ่มอย่างได้สมดุล แต่ยังมีส่วนช่วยลดโอกาสการเกิด มะเร็งหลายชนิดด้วย
การออกกำลังกาย ร่วมกับ การรับประทานอาหารไฟเบอร์สูง ไขมันต่ำ จะเป็นสูตรสำเร็จ ที่น่าจะได้ผลดีในทางทฤษฎี แต่ก็พบว่าในทางหฏิบัติ มีความแตกต่างไป ทั้งนี้เป็นเพราะการดำเนินชีวิต และความสะดวก ในการบริโภคประจำวัน มีส่วนเบี่ยงเบน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวอย่างเช่น การที่มีคอมพิวเตอร์ กระเป๋าหิ้ว ทำให้ต้องเดินน้อยลง ในระหว่างการทำงาน แม้ว่าพยายามชดเชยด้วยการรับประทานอาหารกลางวัน ที่มีแคลอรี่ต่ำ แต่ก็ยังไม่ช่วยสมดุลมากนัก และน้ำหนักก็ยังกลับเพิ่มขึ้นอีกขั้นตอน การย่อยสลายไขมัน
1.การย่อยสลายอาหาร ให้แตกตัวในกระเพาะอาหาร
2.การย่อยด้วยน้ำย่อยไขมัน (lipolysis) ให้กลายเป็น กรดไขมันที่เล็กลง (Free Fatty Acid) และเบตาโมโนกลีเซอไรด์ (b-MGs)
3.การจับตัวกับน้ำดีกลายเป็น อนูเล็กๆ ของไขมัน ที่ละลายน้ำ และพร้อมจะถูกดูดซึม
4.การดูดซึมผ่านผนังลำไส้ดังนั้นหากเราสามารถ จัดการกับไขมันได้ก่อน ที่มันจะถูกดูดซึมเข้าร่างกาย จะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ และทรมานน้อยกว่าอย่างมาก สิ่งที่เราต้องการที่แทัจริงแล้วคือ สิ่งที่สามารถป้องกัน ยับยั้งการดูดซึมของไขมันโชคดี ที่การวิจัยชั้นเยี่ยมในเรื่องของการลดน้ำหนัก ได้ช่วยให้เราค้นพบว่า การเสริมด้วยโภชนาการ หรืออาหารเสริมบางชนิด จะช่วยยับยั้งการได้รับไขมันเพิ่มขึ้น และเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกายด้วย สำหรับคนที่กำลังไม่สบาย จากความไม่สมดุลของไขในในร่างกาย หรือภาวะที่ร่างกายสะสมไขมัน มากกว่าที่นำไปใช้ มันมักจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายทีเดียว ที่จะต้องพยายามป้องกันรักษาสุขภาพของเส้นเลือดและหัวใจส่วนใหญ่การลดน้ำหนัก มักมุ่งไปที่ การพยายามแก้ปัญหา หลังจากที่มีการสะสมไขมันเข้าไปแล้ว แม้จะทราบว่า อาหารใดที่มีไขมันมาก เราก็ยังอดไม่ได้ที่จะรับประทาน และ ก็ต้องมาพยายามหาวิธี ขจัดไขมันออกในภายหลังอันที่จริงแล้ว คำกล่าวที่ว่า "An ounce of prevention is worth a pound of cure" หรือ ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ ควรถูกนำมาพิจารณาอย่างยิ่ง มันจะง่ายกว่ามาก หากมีวิธีป้องกัน ไม่ให้ไขมัน เข้าไปสะสมในร่างกาย ง่ายและปลอดภัย กว่าการที่จะพยายามมาขจัดออกในภายหลัง

การออกกำลัง-การฝึกหายใจในความดันโลหิตสูง

การออกกำลัง-การฝึกหายใจในความดันโลหิตสูง
โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยในคนไทย การตรวจโรคนี้ตรวจพบได้ง่าย ไม่ต้องเจาะเลือด ไม่ต้องเอกซเรย์ เพียงแค่ใช้เครื่องมือวัดความดันโลหิตก็จะทราบผลได้ แต่น่าแปลกที่คนไทยจำนวนไม่น้อยกลับเพิ่งรู้ตัวว่ามีภาวะความดันโลหิตสูง เมื่อมีอาการมากแล้ว ซึ่งสะท้อนถึงความไม่เอาใจใส่สุขภาพของตนเองเท่าใดนัก ได้เคยมีรายงานการวิจัยพบว่า คนที่ออกกำลังกายประจำจะมีภาวะความดันโลหิตสูงน้อยกว่าคนที่ทำงานเบาและไม่ออกกำลังกาย เพราะฉะนั้นท่านจะสามารถสรุปได้ว่าการป้องกันไม่ให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงนั้น หนทางหนึ่งที่ทำได้ ก็คือ การออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ ขณะเดียวกันสำหรับผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง ก็สามารถใช้ การออกกำลังกายเป็นหนทางเยียวยาโรคได้เช่นกัน การออกกำลังกายควรจะเริ่มทีละน้อยก่อน แล้วจึงเริ่มเพิ่มขึ้นเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว การออกกำลังกายที่ควรนำมาใช้ได้แก่ การเดินเล่น การวิ่งเหยาะ เล่นกีฬาเบาๆ หรือการทำงานบ้านเบาๆ ไม่จำเจ ไม่เครียด และไม่ควรออกกำลังกายหนักๆ หรือประเภทต้องกลั้นลมหายใจและออกแรงเบ่ง เช่น การยกน้ำหนัก ชักเย่อ วิดพื้น เป็นต้น หากต้องการออกกำลังกายผู้ป่วยต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม สำหรับร่างกายของตนเอง การฝึกหายใจ นับเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดความดันโลหิตได้เป็นอย่างดี ซึ่งสามารถกระทำได้ หลายวิธีด้วยกัน ไม่จำเป็นว่าจะต้องใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งเสมอไป วิธีการฝึกหายใจที่ทั่วไปใช้ น่าจะลองกันดูก็คือ ให้เริ่มด้วยการฝึกด้วยการนอนหงาย ชันเข่าขึ้น ใช้หมอนรองศีรษะ แล้วห่อไหล่เอาไว้ ปล่อยตัวตามสบายหายใจช้าๆ ลึกๆ เข้าออกทางจมูกเพียงอย่างเดียว โดยการฝึกสูดหายใจเข้าปอดนี้จะต้อง สูดหายใจเข้าให้เต็มปอดอย่างช้าๆ นับช้าๆ ไปพร้อมกับการสูดหายใจเข้าไปให้ได้ประมาณ 4-5 ครั้ง หลังจากนั้นก็ให้กลั้นหายใจนิ่งอยู่ซัก 1-2 วินาที จึงค่อยๆ หายใจออกอย่างช้าๆ พร้อมกับการนับ เช่นเดียวกับการหายใจเข้าและออกเช่นนี้ติดต่อกันสักประมาณ 10-15 ครั้ง ก็จะช่วยทำให้ระบบการหายใจ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีผลในการลดความดันโลหิตไปด้วยในตัว การฝึกหายใจอีกวิธีหนึ่งที่สามารถทำได้ง่ายๆ คือ ให้ยืนตรงหายใจเข้าทางจมูกให้เต็มที่พร้อมๆ กับ การเอนตัวไปทางขวาอย่างช้าๆ ให้มือขวาไต่ไปตามขาขวาด้านนอก ส่วนมือซ้าย ก็ให้ยกตรงสูงเหนือศีรษะ แล้วเปลี่ยนเป็นหายใจออกในขณะเอนตัวกลับไปทางซ้าย โดยให้มือซ้ายไต่ลงตามขาซ้ายด้านนอก ส่วนมือขวายกขึ้นตรงเหนือศีรษะ ทำท่านี้ติดต่อกัน 10 ครั้งแล้วสลับท่าใหม่โดยหายใจเข้าเอนตัวทางซ้าย แล้วหายใจออกเอนตัวทางขวาทำติดต่อกัน 10 ครั้งเช่นกัน การฝึกท่านี้ช่วยเพิ่มการขยายตัว ของด้านข้างบริเวณช่องอกซึ่งก็เท่ากับว่า เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผ่อนลมออกจากปอด และกระตุ้นอาการบีบตัวไล่ลมออกจากปอดอีกด้วย
น.พ.สุรพงศ์ อำพันวงษ์
แหล่งที่มา หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

การออกกำลังกายสำหรับผู้เริ่มต้น

การออกกำลังการสำหรับผู้เริ่มต้น
การออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพ เป็นกลวิธีหนึ่งที่จะนำไปสู่การมีสุขภาพดีทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพไม่เพียงแต่เป็นการส่งเสริมสุขภาพการป้องกันโรค การบำบัดรักกษาโรค การฟื้นฟูสภาพร่างกายเท่านั้น ยังสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่น ๆ ที่ร่วมกิจกรรมการออกกำลังกายระหว่างสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน
การออกกำลังกายจะต้องทำด้วยความเต็มใจ สนุกและพึงพอใจ ถุ้าคิดจะเริ่มต้นออกกำลังกายต้องสำรวจดูอุปสรรค ข้อจำกัด แล้วแก้ไขสุขภาพร่างกายให้พร้อมที่จะฝึกเสียก่อน
ประการแรก ถ้าน้ำหนักตัวมากจะต้องลดน้ำหนักตัว จำกัดอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาลและไขมันให้น้อยลง กินอาหารที่มีกาก เส้นใย กินผักและผลไม้แทนอาหารหวานและอาหารไขมัน
ประการสองถ้าเจ็บป่วยอยู่รักษาอาการป่วยให้ทุเลาลง เพราะอาการป่วยบางอย่างจะทุเลาลงได้ด้วยการออกกำลังกายอย่างถูกวิธี เช่นผู้ป่วยเบาหวาน โรคไขข้ออักเสบ โดยปรึกษาแพทย์ก่อนออกกำลังกาย
ประการที่สาม ออกกำลังกายด้วยวิธีง่าย ๆ สะดอก ไม่ต้องใช้เงินซื้ออุปกรณ์ราคาแพง ไม่ต้องเช่าสนามเล่นได้แม้ที่บ้านประการที่สี่ จัดเวลาให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน เช่น จันทร์ พุธ ศุกร์ หรืออังคาร พฟหัสบดี เสาร์ เวลาอาจะเป็นช่วย 06.00-06.30 น. หรือ 18.30 -19.00 น. หรือเวลาที่เป็นช่วงประจำที่เหมาะสมที่สุด
ประการสุดท้าย หาความรู้เรื่องราวการออกกำลังการด้วยหนังสือ ตำรา วิทยุ เพื่อเป็นแนวทางในการฝึกที่ถูกต้อง หรือสอบถามจากผู้รู้ ออกกำลังกายด้วยวิธีง่าย ๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะชั้นสูง การออกกำลังกายที่บ้านจะสะดวกสบาย ง่าย ประหยัด ประยุกต์ให้เหมาะสมกับชีวิตประจำวัน สามารถเลือกกิจกรรมได้หลายอย่าง เช่น กายบริหาร แอโรบิคแดนซ์ กระโดดเชือก เดินเร็ว จะฝึกกิจกรรมใดก็ได้แต่ควรจะเริ่มจากเบาหรือน้อยไปก่อน แล้วเพิ่มความหนักของการฝึก ฝึกกล้ามเนื้อชิ้นใหญ่ ๆ ฝึกเหยียดหรือยือส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และมีการฝึกความอดทนให้หัวใจมีความสามารถในการทำงานได้มากขึ้น ใข้เวลาในการฝึกวันละ 30 นาที เช่น กายบริหาร เดินเร็ว และการบริหารผ่อนคลายร่างกาย ซึ่งถ้าได้ฝึกจนเป็นนิสัยจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของสุขภาพในทางที่ดีขึ้น
เมื่อพูดถึงการออกกำลังกายในปัจจุบันเราได้หันมาให้ความสำคัญกันมากขึ้น เพราะได้เห็นทั้งประโยชน์ของการออกกำลังการและโทษของการขาดการออกกำลังกาย การออกกำลังกายและโทษของการการขาดออกกำลังกาย การออกกำลังกาย ซึ่งถ้าได้ฝึกจนเป็นนิสัยจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของสุขภาพในทางที่ดีขึ้น
เมื่อพูดถึงการออกกำลังกายในปัจจุบัน เราได้หันมาให้ความสำคัญกันมากขึ้น เพราะได้เห็นทั้งประโยชน์ของการออกกำลังการและโทษของการขาดการออกกำลังกาย การออกกำลังกายเป็นวิธีการทางธรรมชาติ ส่งผลให้อวัยวะของร่างกายมีการเจริญเติบโต แข็งแรงสมบูรณ์ ช่วยชะลอการเสื่อมโทรมต่ออวัยวะต่าง ๆ การขาดการเคลือนไหวออกกำลังการเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด บางคนใช้การเคลือนไหวออกกำลังกายในการรักษาและฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยเรื้อรังที่เกิดจากการเคลื่อนไหวน้อย ลดความเสี่ยงจากการตายก่อนวัยอันสมควร ลดความเครียดและอาการซึมเศร้า ช่วยควบคุมน้ำหนัก เสริมสร้างและดำรงไว้ซึ่งความแข็งแรงของกระดูก กล้ามเนื้อ และข้อต่อ เสริมสร้างความแข็งแรงในผู้สูงอายุ ทำให้เคลือนไหวได้ดี ไม่ผลัดตกหกล้ม และทำให้จิตใจสบายแจ่มใส การเคลื่อนไหวออกกำลังกายเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากน้อยแตกต่างกันไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระดับปริมาณหรือการเคลื่อนไหว และสภาวะของแต่ละคนเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพที่พอเหมาะพอควร ทำให้มีการเผาผลาญพลังงานปานกลาง หรือเคลื่อนไหวออกกำลังการด้วยความแรงระดับกลางให้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ทั้งที่เป็นแบบเป็นแผนหรือกิจกกรมในวิถีชีวิต เสริมด้วยการยึดเหนี่ยวและสร้างความแข็งแรง ทนทานของกล้ามเนื้อ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสนใจ ความต้องการและสภาพร่างกายของแต่ละคน ตราบใดที่บุคคลนั้น มีการเคลื่อนไหวออกกำลังการอย่างสม่ำเสมอแล้ว ย่อมไม่มีวิธีการใดที่ดีกว่าหรือด้อยกว่ากัน
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเพชรบูรณ์

การออกกำลังกายลดความอ้วน

การออกกำลังกายลดความอ้วน
การออกกำลังกายเฉพาะส่วนเพื่อเผาผลาญไขมันปรับเปลี่ยน เป็นกล้ามเนื้อให้ร่างกายฟิตและเฟิร์มยิ่งขึ้น จึงเป็นเรื่องสำคัญ ขอนำเสนอ ท่ากายบริหารเฉพาะบริหารหน้าท้อง ดังนี้
ท่าที่ 1 กล้ามเนื้อท้องรวม ท่าเตรียมพร้อม นอนหงายกับพื้น มือประสานไว้ที่ท้ายทอย งอเข่าเล็กน้อย ยกศีรษะขึ้นในมุมประมาณ 40 องศากับพื้น โดยอาศัยแรงยกจากลำตัวบนและไหล่ทั้งสองข้าง โดยมือควรจะกางออกตึงไว้ แต่ไม่ใช่ห่อ และออกแรงดันศีรษะ เพราะจะทำให้เกิดอาการปวดคอ คอเคล็ดตามมาได้ง่าย
ท่าที่ 2 กล้ามเนื้อท้องด้านบน นอนราบกับพื้น ขายกตั้งฉาก ใช้ช่วงน่องไขว้กัน เพื่อเพิ่มความหนักเวลายกตัวขึ้น มือประสานกันที่ท้าทอย ยกศีรษะขึ้นโดยอาศัยแรงยกจากลำตัวบนและไหล่ทั้งสองข้าง โดยมือคอยประคองศีรษะเอาไว้
ท่าที่ 3 กล้ามเนื้อท้องด้านข้าง นอนราบกับพื้น โดยยกเข่าข้างซ้ายขึ้นและพับขาขวาแนวนอนขัดกัน มือประสานกันไว้ที่ท้ายทอย ยกศีรษะขึ้นโดยอาศัยแรงยกจากลำตัวบนและไหล่ทั้งสองข้าง โดยมือคอยประคองศีรษะเอาไว้ ซึ่งท่านี้จะเป็นการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องด้านซ้าย และทำท่าเดิม แต่ยกเข่าขวาขึ้นและพับขาซ้ายสลับข้างกันกับตอนแรก เพื่อบริหารกล้ามเนื้อด้านขวา
ท่าที่ 4 กล้ามเนื้อท้องน้อย นอนราบกับพื้น พับขาให้ปลอดภัยบรรจบกัน มือประสานกันรองไว้ที่ท้ายทอย ยกศีรษะขึ้นโดยอาศัยแรงยกจากลำตัวบนและไหล่ทั้ง 2 ข้าง โดยมือคอยประคองศีรษะเอาไว้
ท่าที่ 5 กล้ามเนื้อท้องส่วนล่าง นอนราบกับพื้น ขาเหยียดตรง มือสองข้างวางราบกับพื้น รองใต้สะโพกเพื่อรับน้ำหนักให้ส่วนหลัง เกร็งขาไว้และยกขึ้นตั้งฉาก ค้างไว้นับ 1-10 แล้วเหยียดกลับไปท่าเดิม
ท่าที่ 6 กล้ามเนื้อท้องด้านบนและล่าง นอนราบกับพื้น มือขวารองไว้ที่ท้ายทอยเพื่อพยุงศีรษะ มืออีกข้างเหยียดตรงตั้งฉากกับลำตัว ยกเข่าด้านขวาให้ตั้งขึ้น และยกขาซ้ายพาดคล้ายท่าไขว่ห้าง ใช้กำลังที่หัวไหล่ขวาและหลังยกตัวเฉียงขึ้น ให้ข้อศอกแทบจรดเข่าซ้าย ทำท่าเดิม แต่เปลี่ยนจากใช้มือขวารองและเข่าขวาตั้ง เป็นมือและเข่าซ้ายแทนเพื่อบริหารกล้ามเนื้อด้านตรงข้าม แต่ละท่าควรทำซ้ำท่าละ 20 ครั้ง หากเป็นท่าที่ต้องสลับข้าง ให้ทำข้างละ 20 ครั้ง ใช้เวลาในการทำประมาณครึ่งชั่วโมง นอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ลดหน้าท้องแล้ว ยังช่วยลดปัญหาอาการปวดหลัง ปวดตามตัวได้อีกด้วย

การออกกำลังกายเพื่อควบคุมน้ำหนักสำคัญอย่างไร


การออกกำลังกายเพื่อควบคุมน้ำหนักสำคัญอย่างไร
แน่นอนที่การออกกำลังต้องไปด้วยกันกับการควบคุมน้ำหนัก วิธีออกกำลังที่ได้ผลที่สุดคือ เดินเร็วในจังหวะเดิน ๆ หยุด ๆ 10-20 นาที ด้วยระดับย่างก้าวทีเร็วขึ้นปานกลาง ทำ 3 ครั้งต่อสัปดาห์หรืออย่างน้อย 30 นาที ผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ล้างรถ หรือถูบ้านก็ได้ผลดีเช่นเดียวกัน ผิดทั้งเพ…. อย่าไปเชื่อที่คนเขาว่า น้ำหนักที่หายไปจากการไดเอ็ทจะไม่กลับมาอีก ค้าคุณเชื่อตามนี้โอกาสที่จะปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้กลับมามีนิสัยการกินแบบเดิมก็มีสูงมาก และอีกความเชี่อที่ผิดคือ คุณสามารถลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็วภายในเวลา 1 เดือน ในความเป็นจริงน้ำหนักจะลดได้อย่างเหมาะสมประมาณ 1 กิโลกรัมใน 1 เดือนเท่านั้น อย่างไรก็ตามคุณสามารถกินอาหารที่มีน้ำตาลพอเหมาะได้ แต่ต้องไม่หวานมากเกินไป ลองหันมากินผลไม้แทนสิ และอย่าสวาปามอาหารที่บางยี่ห้อปลอดไขมันมากเกินไป ด้วยความชะล่าใจควรตรวจดูส่วนประกอบที่ฉลากก่อนเสมอ

เหนื่อยง่ายคืออะไร

เหนื่อยง่ายคืออะไร

เหนื่อยง่าย หมายถึง เมื่อเราทำงานแล้วเกิดมีอาการเหนื่อยเร็วกว่าปกติ คือในคนปกติขณะทำงานอย่างเดียวกันกับเรายังไม่มีอาการเหนื่อย แต่เรามีความรู้สึกเหนื่อยเกิดขึ้น การเหนื่อยง่ายนั้นมีความรุนแรงหลายระดับเช่นบางคนที่มีอาการน้อยๆ อาจจะเหนื่อยก็ต่อเมื่อต้องทำงานมาก เช่นต้องไปวิ่งแข่ง ไม่สามารถที่จะวิ่งไปถึงจุดหมายได้ จนกระทั่งถึงพวกที่มีอาการรุนแรงมากคือ ทำอะไรนิดก็เหนื่อย ต้องนั่งอยู่เฉยๆ ทำอะไรไม่ได้เลย เหนื่อยกาย หรือเหนื่อยใจ การเหนื่อยเป็นความรู้สึกของแต่ละคน ซึ่งอาจจะเป็นผลจากการที่เป็นโรคที่ทำให้เราต้องออกแรงหายใจเพิ่มขึ้น หรือเป็นจากจิตใจเช่นแม้จะอยู่เฉยๆ ก็เหนื่อยโดยไม่ได้ทำอะไรก็ได้ อากาศไหลเวียนจากที่มีความดันสูงไปหาที่มีความดันต่ำ ปกติปอดติดต่อกับอากาศภายนอกทางหลอดลม ดังนั้นขณะหยุดหายใจความดันในปอด (ถุงลม) จะเท่ากับความดันของอากาศรอบๆตัวเรา การที่อากาศจะไหลเข้ามาในปอดได้ เราต้องทำให้ความดันในปอดน้อยกว่าความดันของอากาศ ในการหายใจกล้ามเนื้อการหายใจต้องออกแรงทำให้ปอดขยายตัว ซึ่งจะทำให้ความดันในปอดลดลงน้อยกว่าความดันของอากาศ อากาศก็จะไหลเข้ามาสู่ในปอด ซึ่งก็คือการหายใจเข้า ในการหายใจเข้ากล้ามเนื้อการหายใจต้องออกแรงสู้กับความยืดหยุ่นของปอด และต้องออกแรงสู้กับความต้านทานของการไหลของอากาศในหลอดลมลงไปสู่ถุงลมในปอด ถ้าปอดมีความยืดหยุ่นน้อยลง พูดง่ายๆคือแข็งขึ้น เช่นมีเลือดคั่งในปอด เนื่องจากมีอาการโรคหัวใจล้ม หรือมีการอักเสบในเนื้อปอด ผู้ป่วยที่เป็นโรคเหล่านี้ต้องออกแรงหายใจมากกว่าปกติ ผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดลมตีบ เช่นโรคหอบหืด หรือโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยก็ต้องออกแรงหายใจเพิ่มขึ้นมากกว่าคนปกติเช่นกัน ผู้ป่วยบางรายอาจหายใจลำบากเนื่องจากกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจนั้นอ่อนแรงลง เช่นในกรณีที่กล้ามเนื้อมีการอักเสบ สาเหตุของการเหนื่อยง่าย เหนื่อยง่ายเกิดขึ้นได้จากสาเหตุต่างๆ กัน มีทั้งที่เป็นโรค และไม่ได้เป็นโรค สาเหตุเหนื่อยง่ายที่เกิดจากโรค ได้แก่
โรคหัวใจล้มวายทำให้เลือดคั่งในปอด ทำให้เราต้องออกแรงหายใจมากกว่าปกติ และนอกจากนั้นยังมีผิดปกติทางการแลกเปลี่ยนออกซิเจน ทำให้ปอดแลกเปลี่ยนออกซิเจนกับเลือดได้น้อยลง ผู้ป่วยจำเป็นต้องหายใจในปริมาตรที่มากขึ้น
โรคปอด ผู้ป่วยที่เป็นโรคปอด เช่นปอดบวม หรือผังพืดเข้าไปเกาะในปอดมาก ทำให้ปอดมีความแข็งตัวมากขึ้น ขยายตัวลำบาก หรือมีการตีบของหลอดลม เช่นโรคหอบหืด หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจเป็นทั้งที่หลอดลมส่วนต้น หรือส่วนปลายก็ได้ หรือ มีการอุดตันของหลอดเลือดในปอด ทำให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้น้อยลง
โรคประสาท และโรคของกล้ามเนื้อ ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อช่วยการหายใจอ่อนแรงลง รวมทั้งการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อทั่วไปด้วย ซึ่งผู้ป่วยจะต้องออกแรงใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อที่จะรักษาปริมาตรของลมหายใจเข้าออกให้เป็นปกติ
โรคซึ่งอาจทำให้มีผลต่อหัวใจ เช่นโรคโลหิตจางเรื้อรัง โรคคอพอกเป็นพิษ โรคตับ และไตพิการอย่างมาก ทำให้หัวใจต้องทำงานเพิ่มขึ้น รวมทั้งการหายใจต้องเพิ่มขึ้นด้วยจึงอาจทำให้ผู้ป่วยเหนื่อยง่ายกว่าธรรมดา
ผู้ป่วยหลายรายที่มีการพักผ่อนไม่พอ ไม่ได้ออกกำลัง (Physical Unfit) หรือเพิ่งฟื้นจากการเจ็บป่วยอาจมีอาการเหนื่อยง่ายได้
ผู้ป่วยอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีโรคดังที่กล่าวมาข้างต้นแต่มีอาการเหนื่อย ที่เราเรียกว่าเหนื่อยใจ ผู้ป่วยพวกนี้มักจะมีเรื่องเครียดกังวล หรือกลัว บางคราวมักจะมีอาการใจสั่น เวียนศีรษะ หรือหน้ามืดร่วมด้วย ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทหารเป็นจำนวนมากที่มีอาการอย่างนี้ เนื่องจากมีความคิดถึงบ้านที่เราเรียกว่าเป็นNeurocirculatory Asthnia) ในปัจจุบันผู้ป่วยพวกนี้เราพบค่อนข้างเยอะ
ถ้าท่านยังไม่เคยออกกำลังกาย เริ่มแรกควรออกกำลังเบา ๆ ที่ง่ายที่สุด คือ การเดิน ให้หัวใจเต้นประมาณ 55 – 65 % ของอัตราการเต้นหัวใจขณะออกกำลังกาย ใช้เวลาน้อย ๆ ก่อน จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มเวลาขึ้นในแต่ละสัปดาห์ โดยยังไม่เพิ่มความหนัก เมื่อร่างกายปรับตัวได้ จึงค่อยเพิ่มความหนักหรือความเหนื่อยตามที่ต้องการ
ท่านต้องหมั่นเคลื่อนไหวและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเดินเร็ว การวิ่ง การถีบจักรยาน การว่ายน้ำ แม้กระทั่งการออกแรงทำงานบ้าน งานสวน งานอาชีพ เพียงทำให้ท่านรู้สึกเหนื่อยขึ้นบ้างพอควร หายใจกระชั้นขึ้น ไม่จำเป็นต้องหนัก ถ้าออกกำลังกายเป็นเรื่องเป็นราว ก็ให้หัวใจเต้นในระดับปานกลาง ประมาณ 65 – 75 % ของอัตราการเต้นหัวใจขณะออกกำลังกาย สะสมให้ได้อย่างน้อยวันละ 30 นาที ทุกวันหรือเกือบทุกวัน อาจแบ่งเป็น 2-3 ครั้งก็ได้
ถ้าเคลื่อนไหวออกกำลังกายอยู่แล้วและต้องการมีสมรรถภาพที่ดี ก็ต้องออกกำลังกายเป็น เรื่องเป็นราวแบบแอโรบิค เช่น เดินเร็ว ๆ วิ่งเหยาะ ถีบจักรยานเร็ว ๆ กระโดดเชือก ว่ายน้ำ เล่นกีฬา เป็นต้น ระดับเหนื่อยมากหรือหอบ ให้หัวใจเต้นประมาณ 76 – 85 % หรือ 86 – 95 % ของอัตราการเต้นหัวใจขณะออกกำลังกาย อย่างน้อยวันละ 30 - 45 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ถ้าท่านอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไปสำหรับผู้ชาย หรือ 55 ปีขึ้นไปสำหรับผู้หญิง หรือท่านที่มีความ เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป และต้องการออกกำลังกายแบบหนัก ๆ หรือออกกำลังกายประเภทที่ไม่เคยทำมาก่อน ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ

ทายนิสัยจากกีฬา

ทายนิสัยจากกีฬาที่ชอบ (ลองอ่านดูอย่าซีเรียด)
ชอบเล่นฟุตบอล สำหรับคนที่ชอบเล่นฟุตบอลมากที่สุดในบรรดากีฬาทุกประเภทนั้น นิสัยจะเป็นคนที่หนักแน่น จริงจัง และรักษาคำพูด คำสัญญาของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง เป็นคนที่สามารถเชื่อถือและไว้วางใจได้ สามารถเผชิญกับภาวะวิกฤติได้ ทั้งยังเป็นคนที่ให้ความร่วมมือ กับคนอื่นดีมาก ในด้านการทำงาน จึงเป็นคนที่มีความสามารถในการทำงาน ที่มีลักษณะเป็นกลุ่มหรือเป็นทีมและยังเป็นนักประสานงานที่ดีอีกด้วย
ชอบเล่นเทนนิส คนที่ชอบเล่นเทนนิสนี้ถ้าหากต้องคบหากับใคร ก็มักจะให้ความสำคัญกับเรื่องฐานะ ชื่อเสียงของคน ที่ตนคบมากทีเดียว โดยจะเลือกคบเฉพาะคนที่อยู่ในฐานะระดับเดียวกับตัวเองเท่านั้น และยังเป็นคน ที่อยู่ในโลกของความเป็นจริง ชอบการทำงานที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ชิงไหวชิงพริบ ใครเก่งกว่าก็ชนะไป อะไรเช่นนี้เป็นต้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนสุภาพอ่อนโยน รู้จักการเข้าสังคมเป็นอย่างดี
ชอบเล่นกอล์ฟ คนที่ชอบเล่นกีฬากอล์ฟนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง ทั้งยังชอบการทำงานหรือการใช้ชีวิต ที่ท้าทายตัวเองมาก ๆ เป็นคนที่ชอบใช้ความคิดหรือตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเอง ละก็จะรับผิดชอบในสิ่งที่เกิด จากการตัดสินใจของตัวเองด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่รอบคอบ ทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังอย่างมีระบบ เป็นคนที่เข้ากับคนง่ายมนุษย์สัมพันธ์ดี และปรับตัวเก่ง
จักรยาน บอกได้ถึงอารมณ์ช่างฝัน โรแมนติกไม่น้อย คุณเป็นคนที่ชอบอยู่กับธรรมชาติ เป็นคนเงียบ ๆ ไม่วุ่นวายกับใครชอบความสงบและเรียบง่าย มีความเป็นส่วนตัวสูง มีแนวคิดเป็นของตัวเอง หัวโบราณเล็ก ๆ มีความเป็นเพื่อนที่จริงใจ ชอบเสียสละและดูแลปกป้องคนรอบตัวเสมอ เสียอย่างเดียวไม่ค่อยมีไหวพริบเท่าไหร่...
ปีนเขา ส่วนคุณที่ชอบกีฬาปีนเขามาก บอกนิสัยของคุณที่ชอบทำอะไรท้าทาย ตื่นเต้น จุดเด่นคือคุณเป็นคนที่ทำอะไรมักจะทำเต็มร้อยเสมอ ทุ่มเทเต็มที่ มีความมุ่งมั่นบากบั่น จิตใจเข้มแข็ง ชอบอยู่กับความจริง แต่ก็ชอบฝัน เพียงแต่ต้องเป็นฝันที่เป็นจริงได้เท่านั้น คุณมักเป็นพี่พึ่งให้คนอื่นเสมอ มีความเป็นผู้นำ อย่างคุณเหมาะจะนำคนมากกว่าตามนะ...
วิ่งแข่ง ถ้าคุณรักการวิ่งที่สุด บอกนิสัยที่กระฉับกระเฉง ไม่หยุดนิ่งของคุณ ทั้งยังชอบเรื่องสนุก ๆ ท้าทาย คุณเป็นคนกระตือรือร้น แอ็คทีฟสุดเดช เป็นคนมีชีวิตชีวา ร่าเริง มีอารมณ์ขัน มีความฝันยิ่งใหญ่ คุณเป็นคนที่วิ่งตามโลก เป็นคนของอนาคตมากกว่าอดีต ชีวิตคุณมักจะนึกถึงแต่วันพรุ่งนี้เสมอ (ถ้าจะหันกลับมาดูอดีตบ้างก็ไม่เลวนะ)
เต้นแอโรบิก ส่วนมากมักจะเป็นผู้หญิง ที่ปิ๊งกับการเล่นแอโรบิค บ่งบอกได้ว่าถึงแม้คุณจะดูเป็นคนฉาบฉวยแต่ลึก ๆ แล้วคุณเป็นคนเข้มแข็ง มีเสน่ห์ เข้ากับคนอื่นได้ดี เพียงแต่บุคลิกของคุณดูช่างแต่งตัว เพราะคุณเป็นคนรักสวยรักงาม เขาสังคมเก่ง ยามเจ็บป่วยคุณจะรีบไปหาหมอแบบไม่รอช้า จุดเด่นคือ ความใจดีของคุณนั่นแหละ.. ที่น่ารักสุด ๆ
ชอบว่ายน้ำ สำหรับคนที่ชอบว่ายน้ำนี้ นิสัยจะเป็นคนใจกล้าชอบการเผชิญหน้ากับปัญหาหรืออุปสรรค โดยไม่หวั่นเกรงสิ่งใด หรือจะเรียกว่าเป็นกัดไม่ปล่อยก็ไม่ผิด นอกจากนี้ยังเป็นคนใจร้อน มุทะลุ จนดูบ้าดีเดือดมากไปหน่อย ซึ่งบางครั้งอาจสร้างความลำบากใจให้กับคนที่ไปไหนมาไหนด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนซื่อสัตย์ รักษาคำพูด รักเดียวใจเดียว ใครดีด้วยก็ดีตอบจนน่าใจหาย แต่ถ้าใครร้ายมา ก็จะโต้ตอบกลับไปอย่างไม่เกรงใจเหมือนกัน
ชอบตกปลา สำหรับคนที่ชอบกีฬาตกปลานี้ อันดับแรกเลยก็คือการเป็นคนรักธรรมชาติ รักความสันโดษ ชอบชีวิตที่สงบๆ ที่ไม่พลุ่งพล่านวุ่นวายไปด้วยผู้คนที่ไม่มีความจริงใจ ให้กันแต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นคนที่มีความเป็นส่วนตัวสูง ไม่ชอบให้คนเข้ามาล่วงละเมิด ในเรื่องราวของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่ช่างฝันช่างคิดอยู่เสมอ โดยเฉพาะเพื่อสิ่งที่ดีในสังคม เป็นคนที่ชอบทำอะไรเพื่อคนอื่น ชอบเสียสละ และมีความรักในผู้คนทุกคน
ชอบเพาะกาย สำหรับคนที่ชอบเล่นกีฬาเพาะกายมากที่สุดนั้น อุปนิสัยมักเป็นคนที่เอาจริงเอาจังในชีวิตมาสักหน่อย ดูเหมือนจะซีเรียสไปซะทุกเรื่องราวเลยหละ และมักมีเป้าหมายในทุกเรื่องที่ลงมือกระทำเสมอ มีความพยายามมาก ถึงขนาดที่ว่ายอมเสียทุกอย่าง เพื่อให้จุดมุ่งหมายของตนเป็นจริง นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่ชอบการเป็นจุดเด่น หรือได้ความสนใจจากคนอื่นมากๆ และต้องการชีวิตที่มีความเพียงพร้อมสมบูรณ์ในทุกๆ เรื่อง
ชอบมวยปล้ำ แม้ว่ามวยปล้ำอาจจะไม่ใช่กีฬาที่ได้รับความนิยมน้อยในบ้านเรา แต่คนที่ชอบกีฬาชนิดนี้เอามากๆ และหากได้เล่นก็จะขอเล่นมวยปล้ำ นี่เป็นอันดับแรก บอกถึงนิสัยของการเป็นคนมีอารมณ์ขัน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่มีจิตใจแข็งแกร่ง ยึดมั่นในความคิดของตนอย่างเหนียวแน่น นอกจากนี้ คนที่ชอบกีฬามวยปล้ำยังเป็นพวกอนุรักษ์นิยมอีกด้วย ประพฤติตนอยู่ในกรอบจารีตประเพณีที่ดีเสมอ ทั้งยังเชื่อมั่นในเรื่องความดีอย่างสูงส่ง
ชอบแข่งรถ สำหรับคนที่ชอบแข่งรถ ไม่ว่าจะรถมอเตอร์ไซค์ หรือรถยนต์ก็ตาม นิสัยมักเป็นคนที่ขอบความท้าทายเอามากๆ ทั้งยังกระตือรือร้นสูง มีพลังงานจะทำนั่น ทำนี่อยู่ตลอดเวลา เป็นคนที่ชอบการแข่งขัน ชอบชีวิตที่ได้รับการปลุกเร้า ตลอดเวลา มากกว่าการอยู่เฉยๆนิ่งๆ ไร้ชีวิตชีวา นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีเป้าหมายในชีวิตสูง มักตั้งความหวังเอาไว้ไกลลิบ แต่ก็มีความพยายามเป็นอย่างดีเพื่อไปให้ถึงสิ่งที่ตนหวังไว้
ชอบสนุกเกอร์ สำหรับผู้ที่รักสนุกเกอร์จับจิต และสมัครเป็นสานุศิษย์ของ ต๋อง ศิษย์ฉ่อยนั้น จะมีนิสัยช่างวิเคราะห์ ใจเย็น และรอบคอบมาก มักจะเป็นคนที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่ง ยังเป็นคนที่มีความสามารถในการทำงานหลายๆ อย่างได้พร้อมกัน และจะประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยดีทีเดียว แต่บางทีอาจจะเป็นคนขี้ระแวงไปหน่อย แม้แต่เรื่องเล็กน้อย จนดูจุกจิกน่ารำคาญ และนั่นก็เพราะความเป็นคนขี้สงสัย ที่อยากรู้อยากเห็นไปซะทุกเรื่อง นั่นเอง
ชอบเบสบอล ส่วนคนที่ชอบกีฬาเบสบอลมากที่สุดนั้น จะเป็นพวกนักคิดสักหน่อยแถมยังฉลาด และเท่าทันเล่ห์เหลี่ยมคนอีกด้วย เป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการโดยเฉพาะในสิ่งที่ตัวเองยึดถือ อยู่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงความคิดง่ายๆ แม้จะเป็นคน ที่มีความคิดทันสมัย และใจกว้างมากก็ตาม นอกจากนี้ยังเป็นคนที่จริงใจมาก รักใครก็จะรักตลอดไม่ลังเล ปรวนแปร ชอบทำงานที่ใช้สติปัญญา และมักคบหาคนที่มีความรู้ความสามารถเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดกัน
ชอบโบว์ลิ่ง สำหรับคนที่ชอบเล่นกีฬาโบว์ลิ่งนี้ นิสัยจะออกไปทางพวกสุขนิยม คือชอบใช้ชีวิต หรือมีชีวิตอย่างมีความสุข เป็นพวกมองโลกในแง่ด ี แต่ไม่ค่อยมีความรับผิดชอบอะไรนัก หวังพึ่งพาจริงจังเห็นจะยาก แต่เล่นๆ ล่ะพอได้อยู่ นอกจากจะรักชีวิตเจ้าสำราญและสนุกสนานแล้ว ยังเป็นคนกล้าแสดงออกอีกด้วย โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่องรื่นเริง บันเทิงใจที่สามารถทำให้คนเฮฮาไปกับตัวเองได้นั่นแหละ เป็นคนที่เอาตัวรอดไปวันๆ มากกว่าจะคิดถึงอนาคต วันข้างหน้า ชอบชกมวย นิสัยของคนที่ชอบเล่นกีฬาคือ การชกมวยมากที่สุดนี้ จะเป็นคนที่รักความอิสระ ชอบทำงานที่ตนรับผิดชอบเพียงคนเดียว หรือในการใช้ชีวิตเมื่อเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาก็มักจะทำตัวเป็นพวกวันแมนโชว์เสมอ คือรับผิดแทนคนอื่นไปซะทุกเรื่อง นอกจากนี้ยังเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเอง ใจคอเข้มแข็ง กล้าหาญ กล้าลุยกับทุกปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเอง โดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด เป็นคนที่รักความยุติธรรมมาก
ไม่ชอบเล่นกีฬาเลย สำหรับคนที่ไม่สนใจเล่นกีฬาใดๆ เลยแม้สักอย่างหนึ่ง นิสัยของคนแบบนี้มักไม่ค่อยสนใจเรื่องราว ที่เป็นรูปธรรมนัก เช่น การแต่งตัว หน้าตา ความสวยงามอะไรพวกนี้ แต่จะให้ความสำคัญกับเรื่องที่ลึกซึ้งของชีวิต-จิตใจ และสติปัญญาของคนมากกว่าอย่างอื่น นอกจากนี้ยังเป็นคนใฝ่รู้ ชอบศึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับปรัชญาและศาสนา


ก็ลองพิจารณาดูเองก็แล้วกันนะครับว่าตรงกับตัวคุณหรือเปล่า ตรงไม่ตรงก็อย่าคิดมากนะครับ