วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551

การแข่งขันกัฬาเยาวชนแห่งชาติคัดตัวแทนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ติดตามชมภาพการแข่งขันกรีฑาเยาวแห่งชาติรอบคัดเลือกตัวแทนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ชมภาพการแข่งขันกรีฑาเยาวชนแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 19 - 29 พฤศจิกายน 2551 ณ จังหวัดมหาสารคาม ภาพใครเป็นใครชมกันเอาเอง (สำหรับวีดีโอ จะหาเวลาลงให้ชมกัน อดใจรอก่อนนะครับ โดยเฉพาะนักเขย่งก้าวกระโดด)

































วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551

การแข่งขันกรีฑานักเรียนนักศึกษาแห่งประเทศไทยคัดเลือกตัวแทน เขต 3 ณจังหวัดนครราชสีมา

จังหวัดสุรินทร์ได้ส่งทีมกรีฑาเข้าร่วมการแข่งขัน
กรีฑานักเรียนนักศึกษาแห่งประเทศไทยรอบคัดเลือก เขต 3
ณ จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่8 - 14 ตุลาคม 2551
ในการแข่งขันครั้งนี้ทีมกรีฑาจังหวัดสุรินทร์ได้ส่งนักกรีฑาเข้าร่วมการแข่งขันจำนวน 10 คน ชาย 5 คน หญิง 5 คน ผลการแข่งขันทีมกรีฑาสุรินทร์ได้รับเหรียญรางวัลดังนี้

2 เหรียญทอง
2 เหรียญเงิน
4 เหรียญทองแดง

1. นายราชัน สีทา นักเรียนโรงเรียนประสาทวิทยาคาร
ได้ 2 เหรียญทอง จากวิ่ง 1,500 เมตร และ 3,000 วิบาก

2. นายศรีปัญญา แก้วกาญจน์ นักเรียนโรงเรียนสินรินทร์วิทยา
ได้ 1 เหรียญเงิน จาก พุ่งแหลน
3. นางสาวกาญจนา รักดี นักเรียนโรงเรียนสังขะ
ได้ 1 เหรียญเงินจาก วิ่ง 1,500 เมตร
4. นางสาวชุติภา สวัสดี นักเรียนโรงเรียนกระเทียมวิทยา
ได้ 2 เหรียญทองแดง จาก กระโดดไกล และ เขย่งก้าวกระโดด
5. นายเติมศักดิ์ ลวดเงิน นักเรียนโรงเรียนสินรินทร์วิทยา
ได้ 1 เหรียญทองแดงจาก วิ่ง ข้ามรั้ว 110 เมตร
6. นางสาวนิศารัตน์ แก้วกาญจนนะวงษ์ นักเรียนโรงเรียนสินรินทร์วิทยา
ได้ 1 เหรียญทองแดง จาก ขว้างจักร
ก็ขอแสดงความยินดีกับนักกรีฑาทุกคนและโค้ชของแต่ละโรงเรียนหวังว่าคงจะสร้างนักกีฬาต่อไปแม้ว่าจะมีแรงกดดันมากมายรอบทิศก็ตาม ขอให้ทุกคนมุ่งมั่นต่อไป

ศรีปัญญา แก้วกาญจน์ เหรียญเงินพุ่งแหลน

กาญจนา รักดี เหรียญเงิน วิ่ง 1,500 เมตร

นิศารัตน์ แก้วกาญจนนะวงษ์ เหรียญทองแดง ขว้างจักร


เชิดชัย , วรศักดิ์ , วินัย ผู้ควบคุมทีม โคราช-สุรินทร์

ชุติภา สวัสดี 2 เหรียญทองแดง กระโดดไกล , เขย่งก้าวกระโดด


กาญจนา , บังอร


ราชัน ศรีทา


ชุติภา สวัสดี
สุรพงษ์ สุขสิน โค้ชกรีฑาสุรินทร์

คณะนักกรีฑาจังหวัสุรินทร์


ฐานันดร์ ดีสม หัวหน้าผู้ฝึกสอนกรีฑาสุรินทร์

วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เทคนิค และ แท็กติก ระบบการเล่นฟุตบอล แตกต่างกันอย่างไร


เทคนิค และ แท็กติก ระบบการเล่นฟุตบอล แตกต่างอย่างไร
เข้าใจว่า คำสองคำนี้ เหมือนหรือแตกต่างกัน แล้ว เมื่อโยงไปถึง แทร็กติกกับ ระบบการเล่น
อันเดียวกันหรือเปล่า พยายามนึกถึงทีมลิเวอร์พูล... หลายท่านคงจะเข้าใจว่าผมจะเขียนเรื่อง
ลิเวอร์พูล หรือวงในแอนฟิลด์ เปล่าหร่อกครับ ถ้าผมอยากเขียนบรรยายอะไรให้มันเข้าเส้น
เดอะ ค็อป ผมไปบรรเลงแป้นคอมพิวเตอร์ที่เว็บไซต์ลิเวอร์พูลแล้วครับ! คราวนี้มาดูคำว่า
เทคนิค แทร็กติก และระบบการเล่น เหมือนหรือแตกต่างกันแน่ เทคนิค(technique) เป็น
เรื่องราวของส่วนบุคคล (individual) มันคือทักษะการเล่นฟุตบอลพื้นฐานที่คล่องแคล่ว
และชำนาญนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการรับบอล หยุดบอลการส่งบอลสั้น การผ่านบอกยาว การ
ปั่นฟรีคิก การควบคุมลูกฟุตบอล ครองบอล โหม่งบอล ยิงประตู และอีกหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง
กันกับความเป็นส่วนตัวของนักฟุตบอลแต่ละคน ถ้าทำได้ดีเราจะบอกว่า มีเทคนิคที่ดี เทคนิค
ขั้นสูง(นักบอลแถบเอเชียบ้านเรายังไม่มีเทคนิคขั้นสูง โดยเฉพาะพี่ไทย)
ส่วนแท็กติก(tactic (s)) หรือยุทธวิธี เป็นเรื่องของส่วนทีม แท็กติกเป็นการนำเอาเทคนิคของ
นักเตะแต่ละคนมารวมกันและเล่นด้วยกัน เป็นยุทธวิธีในการเล่น โดยมีเป้าหมายตั้งแต่ การเล่น
เกมของตัวเอง ทำลายเกมคู่แข่งขัน โจมตีคู่แข่งขัน และสุดท้ายเพื่อเป็นผู้ชนะในเกมหวังจุดโทษ
นิยมกันมากในลีกอิตาลี โดยเฉพาะเวลาเล่นเป็นเจ้าบ้าน) อะไรบ้างที่เป็นแท็กติก อย่างเช่น
การเล่นลูกชิ่ง 1-2 ดับเบิ้ลพาส คือส่งบอลให้เพื่อน แล้วเพื่อนเตะบอลจังหวะเดียวโดยไม่จับ
จังหวะนั้นเราอาจจะวิ่งขึ้นไปตรงๆ เพื่ออาจจะเบิ้ลให้เรา หรือ เบิ้ลไปคนอื่นๆ นี่คือ ดับเบิ้ลพาส
หรืออย่างเช่น การทำประตูแมนฯยูฯ ของ เวรอน นัดแข่งกับสาลิกาดง ซึ่งลูกถือว่าเป็นเทคนิค
ของเวรอน การเล่นบอลจัวหวะเดียวโดยไม่จับ อันนี้ยากเพราะทิศทางต้องแม่นยำและน้ำหนักดี
บรรดาลูกสูตร (set piece) ทั้งหลายแหล่ จากฟรีคิก ลูกเตะมุม
การเล่นเกมรุกด้วยการเจาะตรงคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟ เจาะด้านข้าง การโยนโด่ง การเล่นลูกเรียดๆ
นักเตะบางคนใช้ความสามารถเฉพาะตัวเจาะเกมรับคู่แข่งขัน ยังมี การดีเลย์เกม การทำลายเกมรุก
คู่แข่งขัน การฟาวล์ทุกรูปแบบ อย่างหลังเป็นแทร็กติกในแง่ลบ เพราะเล่นผิดกติกา ถามว่าผิด
หรือไม่คำตอบก็คือผิด สิ่งที่ได้รับคือ การโดนเป่าฟาวล์ อาจจะใบเหลือง หรือเลวร้ายสุดก็ใบแดง
แต่ถ้าทีมเราได้ประโยชน์ ชะลอเกมคู่แข่งขันได้ อะไรได้ แท็กติกลักษณะนี้นำซึ่งการถกเถียงมากมาย
โกงหรือเปล่า เอาเปรียบคู่แข่งขันหรือเปล่า มันคล้ายๆ กับว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ไม่ใช่ซะทีเดียว
คือไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียงมาก แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของเกมฟุตบอล ฟุตบอลก็เป็นโลกๆ
หนึ่ง ไม่มีอะไรจะสวยงามไปซะทุกอย่าง ไม่มีการเล่นเกมรุกโดยไม่มีการตั้งรับ เกมรุกที่สวยงาม
ใช่ว่าจะชนะในเกมเสมอไป อย่างเช่น ทีมบราซิลยุค 70-80 เล่นดี เล่นสวยงามตามสายตาคนดูแต่
สุดท้ายแพ้ เป็นต้น เกมรับที่เลวร้ายก็ไม่ได้รับการยอมรับจากแฟนบอลทีมอื่นๆ นอกจากตัวเอง
อย่างลิเวอร์พูลนัดที่แข่งกับบาร์เซโลน่า นัดยูฟ่า คัพ ปี 2000-01 เป็นนัดน่าเบื่อสำหรับแฟนบอล
อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่าฟุตบอล ก็มีกติกาของมันอยู่ กติกาคอยควบคุมไม่ให้ออกนอกกรอบ
ของมัน แม้บ่อยครั้งที่คนมีอำนาจใช้กติกาอย่าง ผู้ตัดสินจะใช้อำนาจในทางที่ผิด แต่เขาก็ไม่ได้
ตั้งใจจะทำ เพราะมนุษย์ก็ต้องมีผิดพลาด มนุษย์ธรรมดาไม่ใช่โสดาบัน และผู้บรรลุที่เกินคำว่า
มนุษย์ เรื่องของแท็กติกที่ไม่ดี คือ แท็กติก และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเกมฟุตบอล ถ้าถามทรรศนะ
ส่วนตัวของผม รังเกียจ แท็กติกอย่างนี้มั้ย ผมบอกว่าไม่ครับ เพราะมันคือสีสันของเกมฟุตบอล
ไม่จืดชืดที่จะมีแต่พระเอก และมีบทจบแบบ แฮปปี้ เอนติ้ง เสียทุกครั้ง กับนางเอกคนสวยของผม
5555...(อิจฉาวะ ได้กอด ได้จูบ เล่นเอาเราที่แอบชอบนางเอกงอนเป็นเหมือนกันนะโว้ย นะน้องเจนี่)
กระนั้นโลกของฟุตบอลอาจจะไม่แฟร่ในสายตาของแฟนบอลที่ต้องการเห็นเกมรุกอันสวยงาม คลาสสิก
แล้วชนะเลิศ ทว่านั่นก็คือสิ่งที่จะต้องยอมรับ เมื่อโลกฟุตบอลถูกสร้างด้วยเงื่อนไขที่ว่า ได้ประตู
คือผู้ชนะ ไม่ใช่เล่นสวยงามแล้วชนะ(เหมือนทีมแมนฯยูฯ) แต่ตัดสินกันที่ใครยิงประตูได้มากกว่า
อีกอย่างหนึ่งที่ต้องบอกเลยว่า ถ้าคุณดีจริง คุณต้องชนะ(เหมือนลิเวอร์พูล ได้ 3 แชมป์นั่นไง)
คุณต้องดีจริงๆ ไม่ว่าทีมของคุณจะเน้นแท็กติกเกมรับอย่างเดียว หรือรุกอย่างเดียว ถ้ารับดีจริง
รุกดีจริง คุณต้องชนะ แต่ในบางครั้งชัยชนะที่ได้อาจจะไม่ได้มาจาก รับดีและรุกดี แต่อาจจะมาจาก
"โชคดี" แต่มันเป็นแค่บางครั้ง ที่คู่แข่งขันยิงเท่าไหร่ก็ไม่เข้าประตู ชนเสา ชนคาน ยิงเข้าแต่กรรมการ
ไม่ให้เป็นลูกประตู ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใด ก็ถือว่า "โชคดี" อย่าลืมนะครับว่า เล่นฟุตบอลไม่ใช่
หวังพึ่งโชคเสียทุกครั้ง (ดูอย่างทีมไทยที่แข่งรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกซิ แบบว่า "น่าจะ" ชนะคู่แข่ง)
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องฝึกหัด วางแผน ฝีกซ้อมกันแล้ว อย่าลืมความจริงข้อนี้ และความจริงที่ต้อง
ยอมรับว่า มนุษย์มักจะหาบทสรุปจากสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว คำว่า "โชคดีที่ชนะในเกม" เป็นบทสรุป
ของหลายๆ เกมที่เกิดขึ้นมาแล้ว
เรื่องของแท็กติก ไม่ว่าจะเน้นเกมรับ หรือรุกอย่างเดียว มันก็คือ แท็กติก และเป็นส่วนหนึ่งใน
เกมฟุตบอลที่ปฏิเสธ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมเคยเกลียด "คาเตนัชโช่" ของอิตาลี และไม่ชอบ
เกมโต้กลับของ โรมาเนีย, บับแกเรีย แต่เดี๋ยวนี้ ผมเลิกเกลียดแล้ว เลิกเกลียดแต่กลับมายอมรับ
ในมุมมองที่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ค้นหาว่าทำไม "คาเตนัชโช่" และเกมโต้กลับมาพิจารณา
นั่นแหละที่พบว่า ในสิ่งที่เราเคยเกลียดและคิดว่าไม่ดี ที่แท้ที่มีสิ่งดีๆ ซ่อนอยู่ เพียงแต่เราไปตั้ง
กำแพง ตั้งแง่กับมันก่อนที่จะรู้จักกับมันอย่างแท้จริง สิ่งดีๆ อันแรกคือ แท็กติกของแต่ละชาติ
สะท้อนแนวคิดของคนในชาตินั้น วัฒนธรรม และความเป็นชนชาตินั้นๆ อิตาลี ประเภทเจ้าเล่ห์
จอมอุบาย ต้องมีตุกติก ชอบมีนอกเกม พวกเล่นเกมรับมานาน และยังเล่นอยู่ เป็นปรัชญา
ในการทำงานของโค้ชทุกยุคทุกสมัย แม้ อาร์ริโก้ ซ้าคคี่ พยายามจะเปลี่ยนฟุตบอลอิตาลีให้เล่น
เกมรุก แต่เขาบอกว่ามันผิดธรรมชาติของคน อิตาเลียน
ในส่วนของ ฮอลแลนด์ พวกเขาเป็นชาติที่ช่างคิด ช่างประดิษฐ์ เมื่อเล่นฟุตบอลพวกเขา
เป็นชาติที่ตั้งหน้าบุกอย่างเดียว มีวิธีการรุกที่สวยงาม สวยงามจนลืมไปว่า ฟุตบอลยังมี
เกมรับแม้ปรัชญาของพวกเขาคือ ถ้ารุกดี นั่นคือเกมรับที่ดี บ่อยครั้งที่รุกดีแต่ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะ
บอลเขาตัดสินที่ ประตู ฮอลแลนด์ไปเน้นความสวยงามในการเล่นจนลดประสิทธิภาพในแง่ของ
การยิงประตู ยิงไม่ได้ เท่ากับเสมอ สุดท้ายก็แพ้ อย่างนี้คงจะบอกว่ารุกดีไม่ได้ เป็นเกมรุกดี
แต่ไม่ดีจริงต่างหาก ทุกยุคทุกสมัยฮอลแลนด์ จึงหากองหน้าตัวเป้าที่ปิดเกมเฉียบขาดไม่ได้
มีแต่จอมเทคนิค เต็มทีมไปหมด เรื่องของกรอบเขตโทษ พื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ของนักล่าเหยื่อ
เป็นพื้นที่ของเพชฌฆาต เป็นของกองหน้าตัวเป้า ฮอลแลนด์ไม่มีนักเตะในตำแหน่งที่ว่านี้มากนัก
ค้นสถิติกันได้ และก็ฟุตบอลโลกปี 2002 ก็ไม่มีฮอลแลนด์อัศวินสีส้มในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้แน่นอน
ไม่เหมือนเยอรมัน, อิตาลี แม้แต่อังกฤษ เองยังมีกองหน้าตัวเป้าที่ดีสืบทอดตำนานมาตลอด
ฮอลแลนด์ กับ อิตาลี เป็นตัวอย่างของทีมที่มีแท็กติกการเล่นแตกต่างกัน ถามว่ามีทีมไหนสมบูรณ์
แบบหรือไม่ ที่รับดีและรุกดี ผมอยากจะบอกว่า ฝรั่งเศสชุดแชมป์ ยูโร 2000 พวกเขาสมบูรณ์
แบบที่สุด เป็นตัวแทนของทีมที่ครบเครื่องทั้งรับและรุก ช่วงฟุตบอลโลก 1998 พวกเขาไม่
มีกองหน้าที่เป็นตัวยิงประตู ต้องอาศัยตำแหน่งอื่นๆ ขึ้นไปทำประตู แต่มายูโร 2000 พวกเขา
มีทุกอย่างครบเลย และฟุตบอลโลก 2002 ฝรั่งเศสคือทีมเดียวที่เล่นเกมได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
ใกล้เคียงกับคำว่า "perfect"
เข้าใจกันแล้วนะครับว่า เทคนิค กับแท็กติก นั้นแตกต่างกันอย่างไร ในส่วนของแท็กติกนั้น
เกิดจากโค้ชวางแผนและสั่งแน่นอนต้องมีการซ้อมก่อน ซ้อมอย่างชำนาญ นักเตะเข้าใจและเมื่อ
เกิดสถานการณ์ที่ต้องใช้ในสนาม ผู้เล่นจะนำออกมาใช้ได้ ส่วนจะเกิดผลหรือไม่นั้น ตัวแปรไม่ใช่
ว่าซ้อมแล้วจะได้ เพราะคู่แข่งขันอาจจะรู้ทางและป้องกันได้(นี่คือแท็กติกเหมือนกัน) อีกคำหนึ่ง
ที่ดูจะเหมือนและกลมกลืนไปเป็นคำเดียวกันกับ แท็กติก นั่นคือ ระบบการเล่น(system)
ระบบการเล่น เป็นส่วนหนึ่งของแท็กติกก็ว่าได้ ระบบเป็นการกำหนดตัวเลข และการยืนตำแหน่ง
ในสนามเท่านั้นเอง ตั้งแต่ฟุตบอลเป็นศาสตร์ขึ้นมา ย้อนหลังไปช่วง 60-70 ปีก่อน มีการ
ประมวลสรุประบบการเล่นว่าเป็น ตัว W บ้าง เป็นตัว M บ้างจนต่อมามีการพัฒนาการจนเป็น
ตัวเลขที่แน่นอน จนปัจจุบันทั่วโลกเล่นกันจริงๆ คือสองระบบ 5-3-2 และ 4-4-2 คราวนี้
ตำแหน่งการยืนในสนาม เป็นเรื่องที่โค้ชชี้เฉพาะเจาะจงกันไปเอง เพราะทั้ง 11 คนย่อมมีหน้าที่ๆ
แตกต่างกันอยู่แล้ว อย่าง 4-4-2 หยิบตัวเลข 2 ขึ้นมา ระบบนี้โค้ชจะมีนักเตะกองหน้าสองคน
คราวนี้คุณสมบัติคือ หนึ่งในสองต้องมีลักษณะที่เป็นจอมเทคนิค ครองบอลได้ดี จ่ายบอลแม่น
อีกหนึ่งเป็นตัวเป้าที่เก่งในเรื่องการสังหารประตูอย่างเดียว หน้าที่หลักๆ ของเขาคือตรงนั้น

สิ่งมหัสจรรย์แห่งโลกกีฬา



7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งโลกกีฬา
ปิดฉากกันไปเรียบร้อยแล้วสำหรับกิจกรรมที่คนทั่วโลกได้มีส่วนร่วม กับการโหวตหา 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ซึ่งเลือกฤกษ์งามยามเลขสวย 7-7-07 เป็นวันประกาศผล เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน พีต แม็คเอนท์การ์ต คอลัมนิสต์ของ สปอร์ตส อิลลัสเตรทเท็ด นิตยสารกีฬาชื่อดังจึงได้รวบรวมและเรียบเรียง 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกกีฬา ขึ้นมาบ้าง
...เนื่องด้วยบางสถานที่ในอันดับเหล่านี้ค่อนข้างจะห่างตัวแฟนกีฬาทั่วโลกอยู่บ้าง เนื่องจากมีความผูกพันกับกีฬาอเมริกันชนเสียมากกว่า เราจึงขออนุญาตขยับปรับเปลี่ยน นำสถานที่ในอันดับรองๆ ซึ่งหวุดหวิดจะติดโผขึ้นมาแทนที่ แต่ยืนยันได้ว่าแต่ละแห่งล้วนมีความเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง และร่วมบันทึกหน้าประวัติศาสตร์กีฬาโลกควรคู่คำ "มหัศจรรย์" ไม่แพ้กันสักนิดเดียว!
โคลอสเซียม - โอลิมปิคเกมส์ มหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติอาจถือกำเนิดขึ้นในยุคกรีกโบราณ แต่เป็นสิ่งก่อสร้างที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางกรุงโรม อิตาลี แห่งนี้เองที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่รู้จักในฐานะ "บรรพบุรุษของสนามกีฬาทั่วโลก"
ด้วยอิทธิพลของสื่อภาพยนตร์ตลอดระยะเวลาหลายยุคหลายสมัย คนยุคปัจจุบันจึงได้รับรู้ว่าโคลอสเซียมคือสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในยุคสมัยที่จักรวรรดิโรมันยังเกรียงไกร เป็นที่ที่องค์จักรพรรดิและชาวโรมันเข้าไปชมการต่อสู้ของเหล่าแกลดิเอเตอร์ และบ่อยครั้งที่ "แอมฟิเธียเตอร์" หรือสนามอเนกประสงค์แห่งนี้ ถูกใช้เป็นสถานที่จัดแสดงสารพันสิ่งบันเทิงและการแข่งขันกีฬาอื่นๆ ให้ผู้ชมกว่า 50,000 คนได้รับชมตลอดมา
ออกัสต้า - รายการเมเจอร์ เดอะ มาสเตอร์ส อาจไม่ใช่ทัวร์นาเมนต์ที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์กอล์ฟโลกก็จริง แต่ไม่มีรายการเมเจอร์ใดที่จะเวียนกลับมาจัดการแข่งขันยังสถานที่เดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนอย่างรายการนี้อีกแล้ว! เดอะ มาสเตอร์ส ถือกำเนิดขึ้นในปี 1934 โดย คลิฟฟอร์ด โรเบิร์ตส์ และ บ็อบบี้ โจนส์ ซึ่งนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ รายการเมเจอร์แรกของปีรายการนี้จะทำการแข่งขันที่สนาม ออกัสต้า เนชั่นแนล กอล์ฟ คลับ ในรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกาเรื่อยมา
ความที่สนามแห่งนี้จัดการแข่งขันเป็นประจำทุกปี จึงมักมีเรื่องราวที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์มากมาย หนึ่งในจำนวนนั้นคือ อาเมน คอร์เนอร์ หรือหลุม 11, 12 และ 13 ของสนามออกัสต้าที่มักมีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้น อาทิ การทำเบอร์ดี้ต่อด้วยอีเกิ้ลของ ไบรอน เนลสัน ที่หลุม 12 และ 13 เมื่อปี 1937 หรือการเอาตัวรอดจากการตกน้ำที่หลุม 12 ของ แซม สนีด จนก้าวไปคว้าแชมป์ในปี 1949 เป็นต้น
เฟนเวย์ พาร์ก - สนามเหย้าของ บอสตัน เร้ด ซอกซ์ เป็นสนามเบสบอลที่เก่าแก่ที่สุดในเมเจอร์ลีกของสหรัฐอเมริกา มีสโลแกนเรียกขานว่า "สนามเบสบอลที่ชาวอเมริกันรักที่สุด" สนามแห่งนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1912 จนถึงขณะนี้มีอายุได้ 95 ปีเต็มแล้ว
เฟนเวย์ พาร์ก เคยจัดการแข่งขันเวิร์ลด์ซีรีส์ (รอบชิงชนะเลิศ) มาแล้วถึง 9 ครั้ง และมีนักเบสบอลชื่อก้องมากมายฝากผลงานเอาไว้ ในจำนวนนั้นคือหนึ่งในตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของวงการเบสบอลอย่าง เบ๊บ รูธ นั่นเอง
ออล อิงแลนด์ คลับ - ออล อิงแลนด์ คลับ สร้างขึ้นในปี 1868 โดยมีวัตถุประสงค์แรกเริ่มเพื่อใช้แข่งกีฬาเทนนิสกับโครเกต์ และกว่าจะได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขัน วิมเบิลดัน รายการแกรนด์สแลมที่เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของวงการเทนนิสโลก ก็ในปี 1877 โดยหนแรกสุดมีเพียงการแข่งขันประเภทชายเดี่ยวเท่านั้น
ปัจจุบัน ออล อิงแลนด์ คลับ มีสนามเทนนิสที่ใช้ทำการแข่งขัน 19 สนาม โดย เซ็นเตอร์คอร์ต ความจุ 14,000 ที่นั่ง กำลังจะได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยการติดตั้งหลังคาเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการแข่งขันหยุดชะงักเนื่องจากฝนตก ดังที่กลายเป็นปัญหาน่าปวดหัวในปีนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2009 นอกจากนี้ ออล อิงแลนด์ คลับ ยังถูกกำหนดให้เป็นสนามแข่งขันเทนนิสในโอลิมปิคเกมส์ 2012 ซึ่งกรุงลอนดอนจะเป็นเจ้าภาพอีกด้วย
อเมดิสัน สแควร์ การ์เด้น - แม้ปัจจุบัน โปรโมเตอร์ดังอย่าง ดอน คิง และ บ็อบ อารัม จะย้าย "เมืองหลวง" ของวงการมวยโลกไปยังลาสเวกัส ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า หากเอ่ยถึงกีฬามวยในยุครุ่งเรืองถึงขีดสุด ไม่มีสถานที่แห่งใดจะศักดิ์สิทธิ์ไปกว่า เดอะ การ์เด้น ที่นิวยอร์ก ซิตี้ ซึ่งได้ชื่อว่า "เมกกะแห่งวงการมวย" อีกแล้ว!
เมดิสัน สแควร์ การ์เด้น คือชื่อเรียกของสนาม หรือฮอลล์ 4 แห่งในนิวยอร์ก แห่งแรกกำเนิดขึ้นในปี 1979 ซึ่งนอกจากจะใช้เป็น "บ้าน" ของทีมบาส นิวยอร์ก นิกส์ และทีมฮอคกี้น้ำแข็ง นิวยอร์ก เรนเจอร์ส แล้ว ยังใช้จัดโปรแกรมพิเศษอย่างคอนเสิร์ต ละครเวที และอีกหลากหลาย ซึ่งรวมถึงการจัด ไฟต์หยุดโลก นับครั้งไม่ถ้วนของวงการมวยโลก
ยอดตำนานหมัดหรือโคตรมวยแต่ละยุคสมัยต่างเคยผ่านสังเวียนในเดอะ การ์เด้น ไม่ว่าจะเป็น โจ หลุยส์ มูฮัมหมัด อาลี โจ ฟราเซียร์ จอร์จ โฟร์แมน หรือ ไมก์ ไทสัน เรียกว่าในยุคทอง ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับวงการนี้ การได้มาที่นี่ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดด้วยกันทั้งนั้น
เวมบลีย์ - ในฐานะประเทศต้นกำเนิดกีฬาฟุตบอลสมัยใหม่ สนามฟุตบอลแห่งชาติของพวกเขาจึงย่อมเป็นส่วนหนึ่งของ ตำนาน ของวงการลูกหนังโลกอย่างแยกไม่ออกด้วยเช่นกัน
สนามเวมบลีย์กำเนิดขึ้นเมื่อปี 1923 เรียกขานครั้งแรกในนาม เอ็มไพร์ สเตเดียม เป็นสนามที่ใช้จัดการแข่งขันฟุตบอลรายการสำคัญๆ ในประเทศมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบอลถ้วยเก่าแก่อย่าง เอฟเอคัพ รวมทั้งเป็นที่ที่ บ็อบบี้ มัวร์ กัปตันทีมสิงโตคำรามชูถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลกแห่งความภาคภูมิใจของพวกเขาเมื่อปี 1966 ด้วย
เมื่อปี 2003 ได้มีการทุบโครงสร้างสนามเก่าเพื่อสร้างสนามใหม่ แล้วเสร็จช่วงต้นปีนี้ และเปิดใช้เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2007 โดยชาวอังกฤษเรียกชื่อสนามแห่งนี้ติดปากว่า เวมบลีย์ใหม่
นูร์บูร์กริง - ใครก็ตามที่เคยเล่นเกมแข่งรถฟอร์มูล่าวัน ไม่ว่าจะเครื่องเกมแบบไหน หรือเกมใดก็ตาม เชื่อเหลือเกินว่าล้วนต้องเคยผ่านประสบการณ์บิดพวงมาลัยผ่านสนามนูร์บูร์กริง ในเยอรมนี ด้วยกันมาแล้วทั้งนั้น เพราะนอกจากจะเป็นหนึ่งในสนามแข่งกรังด์ปรีซ์ที่โด่งดังที่สุดแล้ว คนในโลกความเร็วยังยกย่องให้ที่นี่เป็นสนามแข่งรถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลด้วยเช่นกัน
เดอะ ริง สร้างขึ้นในทศวรรษที่ 1920 รอบๆ หมู่บ้านและปราสาทนูร์บูร์กจากยุคกลาง เป็นอีกหนึ่งสนามที่ได้ชื่อว่าโหดหินและมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยมีนักแข่งรถต้องสังเวยชีวิตที่นี่หลายราย โดยมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงสนามใหม่ให้เหมาะกับลักษณะของรถแข่งยุคปัจจุบันมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสีย โดยเริ่มใช้เส้นทางที่ปรับปรุงใหม่ในปี 1984
ถึงกระนั้นก็ยังมีเส้นทางเก่าๆ ที่ยังได้รับการอนุรักษ์ไว้ หนึ่งในนั้นคือเส้นทางนอร์ดเชไลฟ์ หรือ "เดอะ กรีน เฮล" ความยาว 22.810 กิโลเมตร ที่หลายคนยอมรับว่าเป็นเส้นทางแข่งรถที่โหดหินที่สุดในโลก!